อาการผื่นไข้เลือดออก เป็นอย่างไร? กี่วันถึงจะหาย?

อาการผื่นไข้เลือดออก เป็นอย่างไร? กี่วันถึงจะหาย?

ไข้เลือดออก (Dengue Fever) เป็นโรคที่มักจะพบได้บ่อยในช่วงหน้าฝน เนื่องจากฝนตกทำให้มีแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะนำโรคเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีผู้ป่วยเป็นโรคไขเลือดออเพิ่มขึ้นตามมา นอกจากอาการเป็นไข้ ปวดศีรษะ และปวดเมื่อยตามตัวแล้ว ยังมี อาการผื่นไข้เลือดออก ขึ้นตามตัวที่ต้องรักษาให้หายดี อาจทำให้ายคนตั้งคำถามได้ว่า ผื่น หรือตุ่มแดงไข้เลือดออกเกิดจากอะไร มีลักษณะอย่างไร และใช้เวลารักษาให้ายกี่วัน บทความนี้ ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส มีข้อมูลดี เกี่ยวกับอาการผื่นไข้เลือดออกเป็นอย่างไร? กี่วันถึงจะหาย? มาฝากกัน


อาการผื่นไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดไหน?

 

อาการผื่นไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดไหน?

 

อาการผื่นไข้เลือดออกเป็นหนึ่งในอาการป่วยของโรคไข้เลือดออก มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) ซึ่งมากับยุงลาย ทำให้ผู้ที่ได้รับเชื้อเกิดอาการป่วยขึ้นมา โดยจะขอจำแนกอาการตามความรุนแรงได้ 3 ประเภท คือ

 

  1. ไข้เดงกีธรรมดา (Dengue without warning signs) ผู้ป่วยจะมีอาการของโรคไข้เลือดออกที่ไม่รุนแรงมาก เช่น มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว รวมทั้งอาการผื่นไข้เลือดออก
  2. ไข้เดงกีเลือดออก (Dengue with warning signs) จะเป็นผู้ป่วยที่มีภาวะเกล็ดเลือดลดต่ำลง ทำให้มีอาการเลือดออกตามผิวหนัง ตามไรฟัน และส่วนอื่น ๆ รวมทั้งมีอาการที่บ่งบอกถึงสัญญาณอันตราย เช่น อาเจียนมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน เหนื่อยหอบ อ่อนเพลีย และมีอาการซึม เป็นต้น
  3. ไข้เดงกีช็อก (Severe dengue) จะเป็นผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงที่สุด ซึ่งเกิดจากภาวะพลาสมารั่วไหลออกนอกเส้นเลือด ทำให้เกิดอาการช็อก หรือมีภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ภาวะตับวายเฉียบพลัน ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และภาวะสมองอักเสบ เป็นต้น 

 

หลายคนอาจสงสัยว่า เชื้อไวรัสเดงกีในยุงลายมาจากไหน? คำตอบคือ ยุงลายได้ดูดเลือดผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสในร่างกาย (ผู้ป่วยที่มีไข้สูง) จากนั้นไวรัสจะเข้าไปฝังตัวในเซลล์ผนังกระเพาะยุง แล้วเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนเชื้อออกมาจากเซลล์ และเดินทางเข้าสู่ต่อมน้ำลาย เมื่อถึงเวลาหาอาหารเพื่อวางไข่ ยุงจะบินเข้าไปกัดคน และแพร่เชื้อไวรัสเดงกีผ่านน้ำลายจนร่างกายติดเชื้อ  

 

ต่อมาเชื้อไวรัสเดงกีจะใช้เวลาฟักตัว 5 – 8 วัน และเกิดอาการผิดปกติจากโรคไข้เลือดออกที่ผิวหนังเป็นสีแดง หรือขึ้นผื่นแดงตามใบหน้า ลำคอ แขน ขา และหน้าอกในอีก 3 – 15 วันต่อมา ซึ่งจะเกิดเป็นลักษณะผื่นไข้เลือดออกที่แตกต่างกัน

 

อาการผื่นโรคไข้เลือดออกเป็นอย่างไร? 

 

อาการผื่นโรคไข้เลือดออกเป็นอย่างไร?

 

หลังจากที่ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเดงกีแล้ว ร่างกายจะแสดงอาการผื่นของโรคไข้เลือดออกออกมาในลักษณะที่แตกต่างกันตามช่วงเวลาที่ผ่านไป โดยจะขอแบ่งลักษณะอาการผื่นไข้เลือดออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้  

 

1. อาการผื่นไข้เลือดระยะแรก

อาการป่วยโรคไข้เลือดออกในระยะแรกจะยังไม่เกิดเป็นผื่นแดง แต่จะเริ่มจากผิวหนังแดงขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะที่ใบหน้า ลำคอ และหน้าอก เนื่องจากเชื้อเดงกีในร่างกายทำให้หลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัว อีกทั้งจะรู้สึกคันเล็กน้อย อาการผื่นไข้เลือดออกระยะนี้จะพบอยู่ในผู้ป่วยที่เป็นไข้เดงกีธรรมดา และจะแสดงออกมาในช่วง 24 – 48 ชั่วโมงแรกของการป่วย ก่อนจะพัฒนากลายเป็นผื่นแดง หรือตุ่มไข้เลือดออกในระยะต่อไป  

 

2. อาการผื่นไข้เลือดออกระยะหลัง 

หลังจากที่อาการผื่นไข้เลือดออกระยะแรกหายไปแล้วราว ๆ 3 – 5 วัน จะมีผื่นแดงเกิดขึ้นในลักษณะที่แตกต่างออกไป เริ่มจากผื่นปื้นแดง จะมีลักษณะคล้ายกับผื่นโรคหัด อาจมีจุดเลือดออกเล็ก ๆ ขึ้นตามตุ่มผื่นปื้นแดง ๆ พร้อมกับมีผื่นวงสีขาวแทรกตามจุดต่าง ๆ ของผื่นปื้นแดงอีกที มีอาการคันตามผิวหนังส่วนแขน ขา และลำตัว การเกิดอาการผื่นไข้เลือดออกลักษณะนี้อาจสันนิษฐานได้ว่าภูมิคุ้มกันของร่างกายกำลังกำจัดเชื้อไวรัสเดงกีอยู่ มักจะพบได้ในผู้ป่วยที่เป็นไข้เดงกีธรรมดา 

 

นอกจากผื่นปื้นแดง และผื่นวงสีขาวแล้ว ในผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกบางคนอาจมีผื่นจ้ำเลือดขึ้นตามผิวหนังด้วย (บางคนอาจขึ้นเป็นตุ่มนูน) ซึ่งจะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกได้ว่า เกล็ดเลือดในร่างกายผู้ป่วยลดน้อยลง โดยจะพบผื่นชนิดนี้ในไข้เดงกีเลือดออก และเดงกีช็อก ซึ่งเป็นอาการของโรคไข้เลือดออกที่รุนแรงที่สุด

 

สรุป ลักษณะผื่นจากโรคไข้เลือดออก

ผื่นไข้เลือดออกระยะแรก 

ผื่นไข้เลือดออกระยะหลัง 

ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีแดง 

ผื่นปื้นสีแดง 

ผื่นวงสีขาว 

ผื่นจ้ำเลือด, ตุ่มจ้ำเลือด 

แต่ทั้งนี้ ลักษณะอาการผื่นไข้เลือดออกแต่ละชนิดไม่เพียงแต่จะเกิดขึ้นเฉพาะกับโรคไข้เลือดออกเท่านั้น ยังสามารถพบผื่นลักษณะเดียวกันจากโรคติดเชื้อชนิดอื่น ๆ ด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อมีผื่นขึ้นตามร่างกาย แนะนำให้ไปพบแพทย์ เพื่อนำไปการรักษาต่อไป 

 

วิธีรักษาอาการผื่นไข้เลือดออก

 

วิธีรักษาอาการผื่นไข้เลือดออก

 

โดยปกติแล้ว อาการผื่นไข้เลือดออกที่เกิดขึ้นแต่ละชนิดจะค่อย ๆ หายไปเองตามธรรมชาติ เพราะภูมิคุ้มกันในร่างกายแข็งแรงขึ้น และสามารถกำจัดเชื้อไวรัสเดงกีในร่างกายได้แล้ว แต่ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกบางคนอาจมีอาการคันที่ผื่น หรือตุ่มแดงตามผิวหนัง แนะนำให้รับประทานยาแก้คัน เช่น ยากลุ่มต้านฮิสตามีน เพื่อบรรเทาอาการคันให้ลดน้อยลง และไม่ควรเกาผื่นไข้เลือดออก เพราะผู้ป่วยยังอยู่ในสภาวะร่างกายที่มีเกล็ดเลือดต่ำ อาจทำให้เลือดออกได้ และยังเสี่ยงต่อการติดเชื้ออีกด้วย 

 

อย่างไรก็ตาม นอกจากอาการผื่นไข้เลือดออกแล้ว ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจะมีอาการป่วยอื่น ๆ เกิดขึ้นร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นการมีไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อาเจียน อ่อนเพลีย เป็นต้น รวมไปถึงอาการชนิดรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยบางคน ได้แก่ เลือดออกตามไรฟัน ผิวหนัง และถ่ายเป็นเลือด จนถึงการเกิดอาการแทรกซ้อน เช่น ภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เป็นต้น จะใช้วิธีรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสเดงกีได้โดยตรง พร้อมกับการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ จะช่วยส่งเสริมให้อาการทุเลาลงได้ 

 

การดูแลสุขภาพที่มีส่วนช่วยให้หายจากอาการผื่นคันไข้เลือดออก 

  • ดื่มน้ำ หรือเกลือแร่ให้เพียงพอต่อร่างกาย 
  • พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมนอกบ้าน 
  • ให้ผู้ป่วยอยู่ในพื้นที่ที่อากาศถ่ายเท 
  • รับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย รสชาติไม่จัด เช่น แกงจืด ข้าวต้ม 
  • เช็ดตัวด้วยผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่น เพื่อไม่ให้อุณหภูมิร่างกายสูงถึง 39 องศาเซลเซียส 
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และห้ามทานแอสไพรินและกลุ่มยาต้านการอักเสบ (NSAIDS) โดยเด็ดขาด 
     

อาการผื่นไข้เลือดออก กี่วันถึงจะหาย?

สำหรับอาการผื่นไข้เลือดออกระยะแรก ซึ่งมีลักษณะเป็นผื่นแดงทั่วผิวหนัง และรู้สึกคันเล็กน้อย จะหายเองภายใน 2-3 วัน ส่วนอาการทางผิวหนังที่มีลักษณะเป็นจุดขาว ๆ บนผื่น หรือตุ่มแดง ๆ ในระยะหลังของการเป็นโรคไข้เลือดออก จะหายไปเองภายใน 1 สัปดาห์ 

 

ทั้งนี้ หากทำการดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง พร้อมกับทานยาตามที่แพทย์สั่งแล้วพบว่า อาการผื่นไข้เลือดออกยังไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ แนะนำให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อทำการวินิจฉัยโรค และรักษาอาการอย่างใกล้ชิดต่อไป 

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ อาการผื่นไข้เลือดออก

อาการผื่นไข้เลือดออก มีวิธีดูอย่างไร? 

จะมีการตรวจอาการผื่นไข้เลือดออกโดยการรัดแขนเพื่อดูว่ามีจุดเลือดออกตามผิวหนังหรือไม่ หรือที่เรียกว่า Tourniquet test หากตรวจแล้วพบจุดเลือดออก หมายความว่าการตรวจให้ผลบวก และสันนิษฐานได้ว่าผู้ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกมาแล้ว 2 – 3 วัน 

 

อาการผื่นส่าไข้ กับผื่นไข้เลือดออก ต่างกันอย่างไร? 

ผื่นส่าไข้ เป็นผื่นที่เกิดจากไวรัส HHV-6 (Human Herpesvirus 6) มีอาการคล้ายกับโรคหัด จะเป็นผื่นสีชมพู หรือสีแดงอ่อน ๆ ขนาดเล็ก ส่วนผื่นไข้เลือดออกจะเป็นผื่นแดง และผื่นขาวขึ้นแทรกตามบริเวณต่าง ๆ ทั้งนี้ ผื่นทั้งสองลักษณะจะเกิดขึ้นหลังจากที่มีไข้เหมือนกัน 

 

อาการผื่นไข้เลือดออก คันไหม? 

ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีอาการคัน และรู้สึกเจ็บ แต่ทั้งนี้ มีเพียง 16 – 27% ของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเท่านั้นที่รู้สึกคันตามบริเวณผื่นแดง 

 

สรุป 

อาการผื่นไข้เลือดออก เป็นหนึ่งในอาการเจ็บป่วยของโรคไข้เลือดออก โดยมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสเดงกีที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค หลังจากที่ถูกยุงกัดแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการผื่นทั้งหมด 2 ระยะ คือ 

  1. อาการผื่นไข้เลือดออกระยะแรก จะมีลักษณะผิวหนังแดงตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
  2. อาการผื่นไข้เลือดออกระยะหลัง จะมีผื่นปื้นแดง หรือตุ่มนูนแดง ๆ พร้อมกับมีผื่นวงขาวขึ้นตามผิวหนัง และในผู้ป่วยบางคนที่มีอาการรุนแรง อาจมีผื่นจ้ำเลือดปรากฏขึ้นด้วย 

อย่างไรก็ตาม อาการผื่นไข้เลือดออกแต่ละชนิดจะหายเองตามธรรมชาติภายใน 1 สัปดาห์ และถ้าหากรู้สึกคันตามบริเวณผื่น ควรทานยาแก้คันเพื่อบรรเทาอาการ ประกอบกับการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อเพิ่มโอกาสให้หายจากโรคไข้เลือดออกได้ไวขึ้นนั่นเอง 

 

ที่มา : 

อาการทางผิวหนังในโรคไข้เลือดออก จาก คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ป้องกันตั้งแต่เริ่มต้น หากรู้อาการ ไข้เลือดออกไม่ถึงตาย จาก ศูนย์บริการสาธารณสุข 6 สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร

แนวทางการวินิจฉัยและการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเดงกีในผู้ใหญ่ พ.ศ. 2563 จาก กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

มารู้จัก “ไข้เลือดออก” ภัยร้ายที่อยู่ใกล้ตัว ตอนที่ 2 จาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

ส่าไข้คืออะไร มีวิธีการดูแลอย่างไร จาก ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล  

 


อัปเดตและติดตามสาระสุขภาพดี ๆ จาก ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ได้ที่

LINE: @eXtaPlus (https://bit.ly/eXtaplus)

หากมีข้อสงสัย หรืออยากสอบถามเพิ่มเติม เกี่ยวกับเรื่อง สุขภาพและการใช้ยา สามารถปรึกษากับเภสัชกรได้ที่ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสะดวกมากยิ่งขึ้น สามารถปรึกษาเภสัชกรร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ผ่าน Application ALL PharmaSee ได้ตลอด 24 ชั่วโมง มาสุขภาพดีไปด้วยกันนะคะ

All Pharma See

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายการใช้คุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์และประเมินผลใช้งาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ช่วยให้เอ็กซ์ต้าเห็นการปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้งานในการใช้บริการเว็บไซต์ของเอ็กซ์ต้า รวมถึงหน้าเพจหรือพื้นที่ใดของเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยม ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมูลด้านอื่นๆ เอ็กซ์ต้ายังใช้ข้อมูลนี้เพื่อการปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์และเพื่อเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งาน อย่างไรก็ดี ข้อมูลที่คุกกี้นี้เก็บรวบรวมจะเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้และนำมาใช้วิเคราะห์ทางสถิติเท่านั้น การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้เอ็กซ์ต้าไม่สามารถทราบปริมาณผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ และไม่สามารถประเมินคุณภาพการให้บริการได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการโฆษณา (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้เป็นคุกกี้ที่เกิดจากการเชื่อมโยงเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม ซึ่งเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานและเว็บไซต์ที่ท่านได้เข้าเยี่ยมชม เพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่นที่ไม่ใช่เว็บไซต์ของเอ็กซ์ต้า ทั้งนี้หากท่านปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะไม่ส่งผลต่อการใช้งานเว็บไซต์ของเอ็กซ์ต้า แต่จะส่งผลให้การนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่นๆ ไม่สอดคล้องกับความสนใจของท่าน
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึก