รู้เท่าทันปอดติดเชื้อ พร้อมสาเหตุ อาการ วิธีรักษา และการป้องกัน

รู้เท่าทันอันตรายของปอดติดเชื้อ พร้อมสาเหตุ อาการ วิธีรักษา และการป้องกัน

ช่วงฝนตกหนัก อากาศชื้น เป็นสภาวะที่เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส รวมทั้งเชื้อราจะเจริญเติบโตได้ดี ส่งผลให้หลายคนเสี่ยงเป็นโรคในระบบทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น หนึ่งในนั้นคือ “โรคปอดอักเสบ (Pneumonia)” ที่เกิดจากภาวะ ปอดติดเชื้อ อาจทำให้มีอาการไอ หายใจลำบากและรู้สึกเหนื่อยหอบ จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้ 

 

บทความนี้ ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส มีข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับ “รู้เท่าทันปอดติดเชื้อ พร้อมสาเหตุ อาการ วิธีรักษา และการป้องกัน” มาฝากกัน เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพ และสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคปอดอักเสบได้มากขึ้น 

 

ปอดติดเชื้อ คืออะไร? 

 

ปอดติดเชื้อ ปอดอักเสบ คืออะไร?

 

ปอดติดเชื้อ (Lung Infection) เป็นภาวะที่เชื้อโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา รวมทั้งสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ ติดเข้าไปในเนื้อปอด ส่งผลให้เกิดการอักเสบ และมีการบวมเกิดขึ้น โดยส่วนใหญ่แล้ว ภาวะนี้มักจะเกิดขึ้นกับคนที่มีระบบภูมิต้านทานต่ำ โดยเฉพาะเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ที่ปอดจะติดเชื้อได้ง่ายกว่าวัยอื่น ๆ  

 

นอกจากนี้ ภาวะปอดติดเชื้อยังเป็นอาการสำคัญของโรคปอดอักเสบ (Pneumonia) ที่จะทำให้ปอดทำงานได้แย่ลง ส่งผลให้มีอาการไอ หายใจลำบาก และเหนื่อยหอบเป็นหลัก บางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนร่วมด้วย เช่น ปอดบวมน้ำ มีเลือดคั่งในปอด และเกิดอาการช็อกจากการติดเชื้อ ฯลฯ 

 

สาเหตุของ ปอดติดเชื้อ เกิดจากอะไร?  

โดยส่วนใหญ่ เกิดจากถุงลมฝอยภายในปอดติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส รวมทั้งเชื้อรา และมีส่วนน้อยที่เกิดจากสารเคมี ซึ่งสามารถติดต่อเข้าสู่ร่างกาย และติดเชื้อในปอดได้หลายทาง เช่น

 

  1. การหายใจ เป็นสาเหตุสำคัญที่หลายคนประสบมากที่สุด โดยสูดเอาเชื้อโรคที่แพร่กระจายอยู่ในอากาศเป็นละอองฝอยจากน้ำมูก และน้ำลายจากการไอจาม จากนั้นจะเดินทางผ่านช่องปาก คอหอย และลงไปยังปอดในที่สุด
     
  2. การสำลักสิ่งแปลกปลอม เช่น เศษอาหาร แอลกอฮอล์ สารเคมี รวมทั้งแบคทีเรียที่อยู่ในช่องปากจนตกลงไปในปอด ส่งผลให้เกิดการระคายเคือง และติดเชื้อตามลำดับ
     
  3. การแพร่กระจายเชื้อโรคตามกระแสเลือด เช่น การฉีดยา หรือการให้น้ำเกลือที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เพิ่มโอกาสให้เชื้อโรคเดินทางเข้าไปในปอดได้ง่ายขึ้น
     
  4. การลุกลามโดยตรงจากการติดเชื้อที่อวัยวะใกล้ ๆ ปอด เช่น เป็นฝีในตับแตก จนเชื้อโรคเข้าสู่ปอด
     
  5. การแพร่เชื้อจากมือของบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมาจากการไม่ได้ล้างมือให้สะอาด ทำให้เชื้อแพร่จากคนสู่คน และมีโอกาสที่ปอดติดเชื้อได้
     
  6. การทำหัตถการบางประเภท เช่น การดูดเสมหะที่ไม่ระวังการปนเปื้อน การส่องกล้องตรวจหลอดลม และการใช้เครื่องมือช่วยหายใจที่มีเชื้อปนเปื้อน 

 

เชื้อโรคที่ก่อให้เกิดภาวะปอดติดเชื้อได้มากที่สุด ส่วนใหญ่จะเป็นเชื้อแบคทีเรียสเตร็ปโทค็อกคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ซึ่งจะทำให้ปอดอักเสบเฉียบพลัน รวมทั้งเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่น ๆ เช่น Staphylococcus aureus ที่พบในผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาโดยไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ และ Klebsiella pneumoniae ที่พบในผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด 

 

นอกจากนี้ยังมีเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (SARS-CoV-2) เชื้อรานิวโมซิสติส จิโรเวซิไอ (Pneumocystis jirovecii pneumonia) และเชื้อโรคอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดภาวะปอดติดเชื้อได้เช่นกัน 

 

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ปอดติดเชื้อ 

  1. การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ อาจทำให้ขาดสารอาหารเข้าไปเสริมสร้างระบบภูมิต้านทานในร่างกาย

  2. การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ จะทำให้ภูมิต้านทานอ่อนแอลง ส่งผลให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้น้อยลง
     
  3. การอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีอาการถ่ายเท มีโอกาสที่จะหายใจเอาเชื้อโรค และมลภาวะที่แพร่กระจายตัวเฉพาะบริเวณนั้นเข้าไป และมีอาการป่วยในที่สุด
     
  4. การสูบบุหรี่ หรือสัมผัสกับควันไฟ ทำให้ระบบทางเดินหายใจเกิดการระคายเคือง เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคปอดอักเสบได้ง่ายขึ้น
     
  5. การมีโรคประจำตัวบางประเภท เช่น โรคถุงลมโป่งพอง โรคหลอดลมพอง โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคหืด และโรคเอดส์ เป็นต้น การได้รับยารักษาโรคหลายชนิดในเวลาเดียวกัน อาจเพิ่มโอกาสให้ปอดติดเชื้อ และเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ 

 

อาการปอดติดเชื้อเป็นอย่างไร?

 

อาการปอดติดเชื้อเป็นอย่างไร?

 

เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อแล้ว จะมีระยะฟักตัวของเชื้อโรคในร่างกายสั้น ๆ ประมาณ 1 – 3 วัน หรือบางรายอาจอยู่ที่ 1 – 4 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะแสดงอาการปอดติดเชื้อออกมา ซึ่งจะมีลักษณะอาการที่สำคัญ ได้แก่

 

  • มีอาการไอ ระยะแรกจะไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ ต่อมาจะมีเสมหะขาว หรือมีสีเขียวเหลืองขุ่น ๆ 
  • หายใจหอบเหนื่อย มักจะรู้สึกหายใจเร็วแล้วหอบเหนื่อย หากเป็นหนักจะมีอาการปากเขียว ตาเขียว 
  • เจ็บหน้าอก เวลาหายใจ หรือไอแรง ๆ จะรู้สึกเจ็บแปลบตรงบริเวณที่ปอดติดเชื้อ 
  • เป็นไข้สูง มักจะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน และมีไข้ตลอดเวลา บางรายอาจรู้สึกหนาวสั่นก่อนมีไข้ 
  • มีอาการอื่น ๆ ที่ไม่จำเพาะร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เจ็บคอ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร และรู้สึกอ่อนเพลีย 

 

สำหรับผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคปอดอักเสบ นอกจากจะมีอาการปอดติดเชื้อแล้ว อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ปอดบวมน้ำ มีเลือดคั่งในปอด มีน้ำหรือมีหนองในโพรงเยื่อหุ้มปอด อาการช็อกจากการติดเชื้อ รวมทั้งการติดเชื้อในกระแสเลือดที่ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ไต เยื่อหุ้มหัวใจ เยื่อหุ้มสมอง เยื่อบุช่องท้อง ติดเชื้อตามไปด้วย ส่งผลให้มีอาการรุนแรงขึ้น และมีโอกาสเสียชีวิตได้ 

 

อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบอาการตั้งแต่ระยะแรก ๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้หายป่วยได้เร็วขึ้น และยังลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ด้วยวิธีการรักษาปอดติดเชื้อดังต่อไปนี้

 

วิธีรักษาปอดติดเชื้ 

หลังจากที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แล้ว จะได้รับการรักษาหลักทั้งหมด 2 วิธีด้วยกัน ได้แก่ 

 

  1. การใช้ยารักษาปอดติดเชื้อ (การรักษาจำเพาะ)

สำหรับกรณีที่ปอดติดเชื้อจากแบคทีเรีย ผู้ป่วยจะต้องได้รับยาต้านจุลชีพ หรือยาปฏิชีวนะในการรักษาอย่างเร็วที่สุดภายใน 4 – 6 ชั่วโมง เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อในปอด แต่ถ้าหากมีอาการช็อกร่วมด้วย จะรักษาด้วยการใช้ยาชนิดเดียวกันภายใน 1 ชั่วโมง 

 

ส่วนผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากไวรัส จะใช้วิธีรักษาแบบประคับประคอง ซึ่งเป็นการรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มียารักษาจำเพาะ พร้อมกับมีการบำบัดรักษาทางระบบหายใจอย่างเหมาะสมไปด้วยกัน 

 

  1. การรักษาแบบประคับประคองอาการ (การรักษาทั่วไป)

 

  1. ดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอ วันละ 8 – 10 แก้วต่อวัน เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ เนื่องจากร่างกายสูญเสียน้ำจากการหายใจ เหนื่อยหอบ และมีไข้สูง
     
  2. ดูแลร่างกายให้ได้ออกซิเจนที่เพียงพอ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบากจนตัวเขียว

  3. ทานอาหารในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายมีสารอาหารซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ โดยเริ่มจากการให้อาหารเหลว เมื่ออาการดีขึ้น ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นอาหารอ่อน และอาหารธรรมดา ตามลำดับ

  4. ทำกายภาพทรวงอก เพื่อให้สามารถขับเสมหะออกจากปอด และหลอดลมได้ดีขึ้น
     
  5. ให้ยาขับเสมหะ หรือยาละลายเสมหะ เพื่อลดปริมาณเสมหะที่อาจคั่งค้างในปอด หรือหลอดลมจนหายใจลำบาก แต่จะไม่มีการใช้ยาตัวนี้กับผู้ป่วยปอดติดเชื้อที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี
     
  6. ให้ยาแก้ปวด เมื่อมีอาการปวด หรือมีไข้สูง 

 

การป้องกันไม่ให้เสี่ยงปอดติดเชื้อ ปอดอักเสบ

 

การป้องกันไม่ให้เสี่ยงปอดติดเชื้อ ปอดอักเสบ

 

การป้องกันตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญมาก สำหรับผู้ที่ไม่มีประวัติเป็นภาวะปอดติดเชื้อมาก่อน รวมทั้งผู้ที่หายจากโรคปอดอักเสบแล้ว เพราะสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นได้ ส่งผลให้มีสุขภาพที่แข็งแรงในระยะยาว โดยมีวิธีดูแลสุขภาพ ดังนี้
 

  1. หลีกเลี่ยงสถานที่ที่แออัด หรือมีอากาศไม่ถ่ายเท แต่ถ้าจำเป็นต้องไปจริง ๆ ให้สวมหน้ากากอนามัย
     
  2. งดการสูบบุหรี่ และไม่เข้าไปอยู่ใกล้ ๆ คนที่สูบบุหรี่ หรือควันไฟ เพื่อลดโอกาสที่ปอดติดเชื้อ

  3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทาน และระบบหายใจให้แข็งแรง
     
  4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ภูมิต้านทานทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
     
  5. ระมัดระวังเรื่องการสำลักเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เช่น ไม่พูดคุยระหว่างทานอาหาร หรือเคี้ยวอาหารช้า ๆ ฯลฯ
     
  6. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ ทุก ๆ 5 ปี โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ
     

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะปอดติดเชื้อ

ปอดติดเชื้อ กี่วันหาย? 

ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงมาก จะหายป่วยจากภาวะปอดติดเชื้อภายใน 1-2 สัปดาห์ ทั้งนี้ มีผู้ป่วยบางคนอาจใช้ระยะเวลาในการรักษา และฟื้นตัวเองนานเป็นเดือน 

 

ปอดติดเชื้อ อันตรายไหม? 

การติดเชื้อที่ปอดถือเป็นภาวะที่อันตราย หากมีอาการรุนแรง และเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้น จึงต้องได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์อย่างใกล้ชิด ดังนั้น หากมีอากาเบื้องต้นที่มีแนวโน้มว่าปอดติดเชื้อ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาให้เรวที่สุด จะช่วยลดความเสี่ยงที่อาการจะรุนแรงขึ้นได้ 

 

มีโอกาสี่ปอดติดเชื้อจากการใส่ท่อช่วยหายใจได้ไหม? 

การใส่ท่อช่วยหายใจมีความเสี่ยงที่ปอดติดเชื้อได้ เมื่อใส่ท่อช่วยหายใจนานเกิน 48 ชั่วโมง โดยสาเหตุมาจากการสำลักเชื้อโรคจากปาก ผ่านหลอดลม และข้าสู่ปอด การใช้ท่อช่วยหายใจที่ไม่สะอาด และมีเชื้อโรคปนเปื้อน 

 

สรุป 

ปอดติดเชื้อเป็นอาการสำคัญของโรคปอดอักเสบที่สามารถเป็นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะกับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุ จะมีความเสี่ยงมากที่สุด ซึ่งมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อราที่เนื้อปอด จนมีอาการไอ หายใจลำบาก หอบเหนื่อย ละมีไข้ บางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นร่วมด้ว อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างหนัก ดังนั้น เมื่อมีอาการ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาให้เร็วที่สุดตั้งแต่เนิ่น ๆ พร้อมกับป้องกันตัวเองอย่างเคร่งครัดจะส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาวได้ไม่น้อย 

 

ที่มา 

Pneumonia Recovery จาก National Institutes of Health  

การป้องกันการเกิดปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจในผู้ป่วยแผลไหม้ จาก วารสารแผลไหม้และสมานแผลแห่งประเทศไทย  

คู่มือการพยาบาลผู้ป่วยสูงอายุโรคปอดอักเสบ จาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล 

ปอดอักเสบในเด็ก สังเกตอย่างไร? จาก โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์

โรคปอดบวม, ปอดอักเสบ (Pneumonia) จาก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข 

 


อัปเดตและติดตามสาระสุขภาพดี ๆ จาก ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ได้ที่

LINE: @eXtaPlus (https://bit.ly/eXtaplus)

หากมีข้อสงสัย หรืออยากสอบถามเพิ่มเติม เกี่ยวกับเรื่อง สุขภาพและการใช้ยา สามารถปรึกษากับเภสัชกรได้ที่ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสะดวกมากยิ่งขึ้น สามารถปรึกษาเภสัชกรร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ผ่าน Application ALL PharmaSee ได้ตลอด 24 ชั่วโมง มาสุขภาพดีไปด้วยกันนะคะ

All Pharma See

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายการใช้คุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์และประเมินผลใช้งาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ช่วยให้เอ็กซ์ต้าเห็นการปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้งานในการใช้บริการเว็บไซต์ของเอ็กซ์ต้า รวมถึงหน้าเพจหรือพื้นที่ใดของเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยม ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมูลด้านอื่นๆ เอ็กซ์ต้ายังใช้ข้อมูลนี้เพื่อการปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์และเพื่อเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งาน อย่างไรก็ดี ข้อมูลที่คุกกี้นี้เก็บรวบรวมจะเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้และนำมาใช้วิเคราะห์ทางสถิติเท่านั้น การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้เอ็กซ์ต้าไม่สามารถทราบปริมาณผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ และไม่สามารถประเมินคุณภาพการให้บริการได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการโฆษณา (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้เป็นคุกกี้ที่เกิดจากการเชื่อมโยงเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม ซึ่งเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานและเว็บไซต์ที่ท่านได้เข้าเยี่ยมชม เพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่นที่ไม่ใช่เว็บไซต์ของเอ็กซ์ต้า ทั้งนี้หากท่านปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะไม่ส่งผลต่อการใช้งานเว็บไซต์ของเอ็กซ์ต้า แต่จะส่งผลให้การนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่นๆ ไม่สอดคล้องกับความสนใจของท่าน
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึก