ปวดท้องน้อยด้านซ้าย เป็นอาการที่อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งในบางรายอาจเป็นแล้วหายได้เอง หรือเป็นเรื้อรัง และรุนแรงจนอาจกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หากปล่อยทิ้งไว้อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
บทความนี้ ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส มีข้อมูลเกี่ยวกับ ปวดท้องน้อยด้านซ้ายอันตรายไหม และเมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์ มาแชร์กัน
ปวดท้องน้อยด้านซ้าย คืออะไร ?
ปวดท้องน้อยด้านซ้าย เป็นอาการเกิดจากการทำงานผิดปกติของระบบอวัยวะภายในที่อยู่ในบริเวณนั้น ซึ่งบางครั้งอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคบางอย่าง โดยสามารถบ่งบอกได้ถึงปัญหาของสุขภาพที่แตกต่างกันไป
อวัยวะใดบ้างที่อยู่บริเวณ ท้องน้อยด้านซ้าย
- บางส่วนของลำไส้เล็ก
- ลำไส้ใหญ่ตำแหน่ง Descending และ Sigmoid
- ท่อไตด้านซ้าย
- ระบบอวัยวะสืบพันธุ์
- รังไข่ข้างซ้าย และท่อมดลูกในบางราย
สาเหตุของอาการ ปวดท้องน้อยด้านซ้าย จากโรคต่าง ๆ
1. โรคถุงผนังลำไส้อักเสบ (Diverticulitis)
เกิดจากการที่ ลำไส้ใหญ่อ่อนแอ มีการอักเสบของกระเปาะบริเวณเยื่อบุลำไส้ใหญ่ จนเกิดเป็นถุงเล็ก ๆ ขึ้นมาทำให้ลำไส้ใหญ่บริเวณนั้นบวมแดงจนเป็นฝี แตกเป็นแผล นำไปสู่การปวดท้องน้อยด้านซ้าย หรือด้านขวาอย่างเฉียบพลัน
ลักษณะอาการของโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ
- กดเจ็บบริเวณท้องน้อยด้านซ้าย หรือขวา
- มีอาการปวดท้องรุนแรงเรื้อรัง
- มีไข้สูงมากกว่า 38 องศาเซลเซียส
- มีอาการหนาวสั่น
- รู้สึกเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
- มีอาการเหนื่อยและอ่อนเพลีย
- ท้องอืด ท้องผูก บางรายอาจมีอาการท้องเสีย
วิธีการรักษาอาการ ปวดท้องน้อยด้านซ้าย จากโรคถุงผนังลำไส้อักเสบ
หากมีอาการไม่รุนแรงสามารถบรรเทาอาการได้ด้วยตนเอง โดยสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การใช้ชีวิตหมั่น รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพได้รับสารอาหารครบ 5 หมู่ กากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ในอีกกรณีแพทย์จะสั่งยาปฏิชีวนะโดยส่วนมากอาการอาจจะดีขึ้น หรือหายขาด ทั้งนี้หากมีอาการรุนแรงมาก แพทย์จะทำการผ่าตัดและพิจารณาว่าจะใช้การผ่าตัดแบบใด
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์
- มีอาการปวดท้องน้อยด้านซ้าย หรือขวารุนแรงขึ้น เมื่อขยับตัว
- อุจจาระปนมีเลือดมากผิดปกติ มีสีแดงหรือสีดำ
- มีลม หรืออุจจาระออกมาจากท่อปัสสาวะ ในขณะปัสสาวะ
2. แก๊สจากกระบวนการย่อยอาหาร (Gas)
การขับแก๊สและการเรอ เกิดจากกระบวนการย่อยอาหารตามปกติ แต่หากรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูง ไขมันสูง ทอด มีรสเผ็ด น้ำอัดลม หรือถั่วต่าง ๆ จะทำให้เกิดกรดและแก๊สออกมาในปริมาณมาก นอกจากนี้ยังมีโรคบางชนิดที่อาจทำให้เกิดแก๊สส่วนเกินได้ เช่น อาหารไม่ย่อย โรคกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ ภาวะพร่องเอนไซม์ แผลในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้แปรปรวน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการปวดจุก ปวดท้องน้อยด้านซ้าย หรือปวดจุกบริเวณท้องซ้ายด้านบน ทำให้รู้สึกอึดอัด หายใจไม่สะดวก
ลักษณะอาการ แก๊สเกินในกระบวนการย่อยอาหาร
- เรอ
- ผายลม
- ท้องอืด
- ปวด และอึดอัดบริเวณท้อง
วิธีการรักษาอาการ ปวดท้องน้อยด้านซ้าย จากแก๊สเกินในกระบวนการย่อยอาหาร
โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ สามารถหายได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทาน รวมไปถึงอาหารที่ทาน เช่น เลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส ทานอาหารให้ช้าลง เคี้ยวให้ละเอียด หรือเดินย่อยหลังจากทานอาหารเสร็จ จะสามารถช่วยลดแก๊สส่วนเกินได้ หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วไม่ดีขึ้น ควรเข้าพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัย และทำการรักษาต่อไป
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือท้องเสีย เป็นระยะเวลามากกว่า 2 – 3 สัปดาห์
- ปวดท้องอย่างรุนแรง
- น้ำหนักลด
- มีพฤติกรรมการขับถ่ายที่เปลี่ยนไป อุจจาระเป็นสีดำ หรือเป็นเลือด
3. ไส้เลื่อน (Hernia)
เกิดจากการที่เนื้อเยื่อ เช่น เนื้อไขมัน ลำไส้ หรือ กระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเคลื่อนตัวโผล่ผ่านทางจุด หรือบริเวณที่มีความอ่อนแอบนผนังหน้าท้องที่อาจเป็นโดยกำเนิด หรือเกิดจากการผ่าตัดจนทำให้ผนังช่องท้องบริเวณนั้นอ่อนแอ ซึ่งก้อนเนื้อนั้นโผล่ออกมานอกช่องท้องแต่อยู่ยังอยู่ใต้ผิวหนังมีลักษณะนูนขึ้นมาบริเวณหน้าท้อง
ลักษณะอาการ ไส้เลื่อน
ในช่วงแรก ๆ อาจไม่มีอาการเจ็บปวด แสดงออกมาเห็นได้ชัดเจน แต่สามารถสังเกตอาการได้ ดังนี้
- ลักษณะตุงนูนยื่นออกมาบริเวณที่เคยผ่าตัด หรือบริเวณขาหนีบ
- รู้สึกแน่นท้อง
- ปวดแสบปวดร้อน บริเวณท้องน้อย
- ท้องผูก
- อาเจียน
วิธีการรักษาอาการ ไส้เลื่อน
เบื้องต้นแพทย์จะให้ยาลดปวด และจัดท่าเพื่อดันไส้เลื่อนกลับ หรือหากรุนแรงเกินไปจะใช้วิธีการผ่าตัด
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์
เมื่อมีอาการจุก หรือเจ็บปวดบริเวณมีก้อนตุงนูน แน่นท้อง ปวดแสบปวดร้อน ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนของ อาการในระดับรุนแรง จำเป็นที่จะต้องเข้าพบแพทย์เพื่อได้รับการผ่าตัดด่วน
4. นิ่วในไต (Kidney Stones)
เกิดจากแร่ธาตุแข็งชนิดต่าง ๆ ที่รวมตัวกันเป็นก้อน ซึ่งมักเกิดขึ้นบริเวณไต รวมไปถึงสามารถพบได้บ่อยในบริเวณระบบทางเดินปัสสาวะเช่นกัน ทั้งนี้หากก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่มากจนเกินไป อาจไปปิดกั้น และสร้างบาดแผลให้กับท่อไต ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้
ลักษณะอาการ นิ่วในไต
- ปวดหลัง ปวดท้องน้อยด้านซ้ายหรือขวา
- รู้สึกปวดร้าวลงไปถึงบริเวณขาหนีบ
- ปวดบีบเป็นระยะ และปวดรุนแรงเป็นช่วง ๆ ที่บริเวณดังกล่าว
- พฤติกรรมการปัสสาวะที่เปลี่ยนแปลงไปน้อย เช่น ปวดปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขุ่น มีกลิ่นแรง มีเลือดปน หรือปัสสาวะมีสีแดง ชมพู และน้ำตาล
- รู้สึกเจ็บขณะปัสสาวะ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- มีอาการหนาวสั่น เป็นไข้
วิธีการรักษาอาการ นิ่วในไต
หากก้อนนิ่ว ไม่มีขนาดใหญ่มาก แพทย์จะแนะนำให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อเป็นการขับก้อนนิ่วออกมาทางปัสสาวะ ทั้งนี้หากก้อนนิ้วมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะขับออกมาได้แพทย์จะทำการรักษา ด้วยวิธีการใช้เครื่องสลายนิ่ว การส่องกล้องสลายนิ่ว หรือการผ่าตัด
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์
รับประทานยาบรรเทาปวดแล้วก็ยังไม่หาย และมีอาการปวดท้องน้อยด้านซ้าย หรือขวา พร้อมกับมีไข้สูงร่วมด้วย
5. อาการปวดประจำเดือน (Menstrual Cramps)
ประจำเดือนเกิดจากการผลัดเยื่อบุมดลูกเดือนละครั้ง โดยส่วนมากมักมีอาการปวดท้องน้อยด้านซ้าย ขวา หรือทั้งสองฝั่ง ซึ่งทำให้รู้สึกไม่สบายตัว หรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้
ลักษณะอาการ ปวดประจำเดือน
- ปวดท้องน้อยด้านซ้าย หรือขวา
- อาการปวดท้องน้อยด้านซ้ายหรือขวา มักเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 1 – 3 ของการเป็นประจำเดือน
- ปวดหนักและปวดอย่างต่อเนื่อง
- อาการปวดร้าวสามารถลามไปถึงหลังส่วนล่าง หรือช่วงขา
- ในบางรายจะมีอาการ ปวดหัว วิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียน ร่วมด้วย
วิธีการบรรเทาอาการ ปวดประจำเดือน
- ใช้ถุงร้อนประคบบริเวณที่ ปวดท้องน้อยด้านซ้าย หรือขวา
- นวดบริเวณท้องน้อย
- ทานอาหารเบา ๆ และมีสารอาหารครบ 5 หมู่
- ผ่อนคลายร่างกายด้วยการทำโยคะ
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์
-มีอาการปวดหลังจากใส่ห่วงอนามัย
-มีอาการเจ็บปวดท้องน้อยด้านซ้าย และขวา ทุกครั้งต่อเนื่องมากกว่า 3 รอบของการเป็นประจำเดือน
-ลิ่มเลือดไหลออกมาเยอะกว่าปกติ
-ปวดเกร็งเป็นตะคริว ร่วมกันกับอาการคลื่นไส้ และท้องร่วง
-ปวดอุ้งเชิงกรานเมื่อไม่มีประจำเดือน
6. ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)
เกิดจากการที่เนื้อเยื่อคล้ายกับเยื่อบุมดลูกเจริญนอกโพรงมดลูก เช่น เยื่อบุช่องท้อง รังไข่ ผนังลำไส้ ผนังกระเพาะปัสสาวะ หรือ ผนังเยื่อที่บุเชิงกราน ทั้งนี้สาเหตุอาจมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเมื่อเป็นรอบเดือน
ลักษณะอาการ ของภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- ปวดประจำเดือนมากกว่าปกติ โดยปวดท้องน้อยด้านซ้าย และขวา
- มีอาการปวดเกร็งตะคริว นานกว่า 1 – 2 สัปดาห์ระหว่างเป็นรอบเดือน
- เลือดออกระหว่างรอบเดือนมากผิดปกติ
- มีบุตรยาก
- รู้สึกเจ็บปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์
- มีอาการปวดหลังส่วนล่าง ระหว่างรอบเดือน
วิธีการรักษาอาการ ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
โดยแพทย์จะทำการรักษาโดยการให้ยา กลุ่มต้านการอักเสบ หรือยาปรับฮอร์โมน และรักษาโดยการผ่าตัดเอารอยโรคของเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ออก
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์
- มีอาการปวดหน่วงช่วงทวารหนัก ระหว่างมีรอบเดือน
- ปวดท้องน้อยด้านซ้าย หรือขวาเรื้อรัง
7. โรคถุงน้ำรังไข่ (Ovarian Cyst)
ถุงน้ำรังไข่ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท แบบแรกไม่อันตราย คือ ถุงน้ำรังไข่แบบธรรมดา และแบบที่สอง แบบอันตราย คือ ถุงน้ำชนิดที่เป็นมะเร็ง โดยที่อาการผิดปกตินั้นจะขึ้นอยู่กับชนิดของถุงน้ำรังไข่ เช่น รังไข่ขยายใหญ่ขึ้น หรือมีอาการผิดปกติที่ส่งผลให้เกิดการบิดเกลียวของปีกมดลูก
ลักษณะอาการของ โรคถุงน้ำรังไข่
- คลำเจอก้อนที่หน้าท้อง
- ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ
- ประจำเดือนมาผิดปกติ
- มีภาวะน้ำหนักขึ้น
- เกิดสิว
- มีอาการท้องอืด แน่นท้อง
วิธีการรักษาอาการ โรคถุงน้ำรังไข่
เมื่อสังเกตร่างกายไปสักระยะหนึ่งแล้ว รู้สึกได้ถึงความผิดปกติควรรีบเข้าพบแพทย์ในทันทีเพื่อทำการวินิจฉัยโรคและรักษาต่อไป โดยแพทย์จะทำการรักษาด้วยการฉีดยา หรือการผ่าตัด
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์
- ปวดหน่วงบริเวณท้องน้อยด้านซ้าย หรือขวา
- ปวดรอบเดือนมากจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
- หน้าท้องขยายใหญ่ขึ้น
- เบื่ออาหาร
- น้ำหนักลด
- ในบางรายมีอาการอ้วนขึ้น ทั้งที่มีพฤติกรรมการทานอาหารที่เหมือนเดิม
อาการร่วมเมื่อ ปวดท้องน้อยด้านซ้าย ที่ควรเข้าพบแพทย์
อาการปวดท้องน้อยด้านซ้าย โดยส่วนใหญ่แล้วมักเป็นเรื่องที่ปกติและสามารถหายไปได้เอง อย่างไรก็ตามหากเกิดขึ้นและมีอาการร่วมเหล่านี้ควรรีบเข้าแพทย์ในทันที
- เป็นไข้
- วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
- มีอาการท้องเสีย หรือท้องผูก
- ขับถ่ายปัสสาวะ หรืออุจจาระเป็นเลือด
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- เกิดอาการช็อก เช่น ผิวหนังเย็นและชื้น หายใจเร็ว หน้ามืด หรือมีอาการอ่อนแรง
สรุป ปวดท้องน้อยด้านซ้ายอันตรายไหม และเมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์
ปวดท้องน้อยด้านซ้าย มักเป็นอาการปกติ และสามารถหายได้เอง แต่ในบางครั้งที่มีอาการปวดรุนแรง อาจมีสาเหตุมาจากโรคต่าง ๆ เช่น โรคถุงผนังลำไส้อักเสบ แก๊สเกินจากระบบย่อยอาหาร ไส้เลื่อน นิ่วในไต ประจำเดือน ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือ โรคถุงน้ำรังไข่ เป็นต้น ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้ จึงควรสังเกตร่างกายของตนเองอยู่สม่ำเสมอ หากพบอาการผิดปกติควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัย และรักษาต่อไป
ทั้งนี้ อาการปวดท้อง ถือเป็นหนึ่งใน 16 กลุ่มอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่สามารถเข้ารับยาได้ แบบไม่มีค่าใช้จ่าย ตามร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการ โดยสำหรับผู้ที่มี สิทธิบัตรทอง หรือ หลักประกันสุขภาพ 30 บาท ก็สามารถขอเข้ารับสิทธิ์ได้แล้วที่ ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส กว่า 400 สาขา ทั่วประเทศ
ที่มา:
What’s Causing Pain in My Lower Left Abdomen? จาก Healthline
ท้องอืด วิธีแก้ เมื่อมีลมในท้อง อาหารไม่ย่อย ต้องทำอย่างไร จาก eXta Plus
รู้ไหม…ไส้เลื่อนเกิดขึ้นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย จาก คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
Is the Rash on My Back Shingles ? จาก Healthline
What Everyone Should Know about Vaccine จาก CDC
Shingles จาก NHS
What Causes Painful Menstrual Periods and How Do I Treat Them? จาก Healthline
Menstrual cramps จาก Mayo Clinic
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) จาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
Endometriosis จาก Healthline
โรคถุงน้ำรังไข่ หากเป็นแล้วอันตรายหรือไม่ จาก คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
อัปเดตและติดตามสาระสุขภาพดี ๆ จาก ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ได้ที่
หากมีข้อสงสัย หรืออยากสอบถามเพิ่มเติม เกี่ยวกับเรื่อง สุขภาพและการใช้ยา สามารถปรึกษากับเภสัชกรได้ที่ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสะดวกมากยิ่งขึ้น สามารถปรึกษาเภสัชกรร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ผ่าน Application ALL PharmaSee ได้ตลอด 24 ชั่วโมง มาสุขภาพดีไปด้วยกันนะคะ