อาการไข้เลือดออก ในระยะแรกอาจสร้างความสับสนแก่ผู้ป่วยไม่มากก็น้อย เนื่องจากอาการแสดงเบื้องต้น จะมีความคล้ายคลึงกับไข้หวัดโดยทั่ว ๆ ไป เช่น การมีไข้สูง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ทำให้หลายคนที่ไม่ทราบถึง อาการไข้เลือดออก อาจเข้าใจผิด จนนำไปสู่การเข้ารับการรักษาที่ล่าช้า และส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของผู้ป่วยจนอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด
บทความนี้ ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส จึงมีข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับ อาการไข้เลือดออก เป็นอย่างไร เช็กอาการเสี่ยงภัยร้ายจากยุง มาฝากกันค่ะ
ทำความรู้จักกับโรคไข้เลือดออก
ไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) มียุงลาย เป็นพาหะนำโรค โดยยุงลายจะหากินในช่วงเวลากลางวัน ด้วยการดูดเลือดคนเป็นอาหาร โรคนี้มักจะพบได้มากในประเทศเขตร้อน โดยจะมีรายงานการระบาดที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงหน้าฝน และสามารถเป็นได้ทุกเพศ ทุกวัย ไม่จำกัดเพียงในเด็กเล็กเท่านั้น รายงานสถานการณ์ไข้เลือดออกจากกรมควบคุมโรค ช่วงวันที่ 1 มกราคม – 24 สิงหาคม 2565 พบว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกสะสมสูงถึง 19,380 ราย และมีรายงานผู้เสียชีวิตจากโรคนี้รวมทั้งสิ้น 17 ราย ดังนั้นหากคนในครอบครัวมีพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิด อาการไข้เลือดออก ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาในทันที
โรคไข้เลือดออกติดต่อกันได้อย่างไร ?
- ยุงลายจะดูดเลือดผู้ที่มีเชื้อไวรัสเดงกี ทำให้เชื้อเข้าไปฝังตัวที่ผนังกระเพาะอาหารของยุง
- ไวรัสที่อยู่ในกระเพาะอาหารของยุงลาย จะใช้เวลาในการฟักตัวประมาณ 7 – 14 วัน เมื่อเชื้อมีจำนวนมากขึ้นจะเดินทางออกจากกระเพาะอาหารไปยังต่อมน้ำลายของยุง
- เมื่อยุงที่มีเชื้อไวรัสในต่อมน้ำลาย ไปกัดคนก็จะทำให้ผู้ที่โดนยุงกัดติดเชื้อไวรัสเดงกีได้ และส่งผลให้เป็นโรคไข้เลือดออก โดยจะมีอาการหลังโดนกัดประมาณ 3 – 15 วัน
- ก่อให้เกิดวงจรการระบาดของโรค หากมียุงลายตัวอื่นเข้ามาดูดเลือดของผู้ป่วยไข้เลือดออก และไปกัดผู้อื่นต่อ จะส่งผลให้เชื้อไวรัสแพร่ระบาดออกไปได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง
เราจะสังเกต อาการไข้เลือดออก ได้อย่างไร
สามารถสังเกตอาการของผู้ป่วยไข้เลือดออกได้ ดังนี้
- มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส
- ปวดหัวรุนแรง
- ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ กระดูก และข้อต่อ
- ปวดกระบอกตา
- ตาแดง
- มีผื่นแดงขึ้นบริเวณผิวหนัง
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้ อาเจียน
- อาจท้องผูกหรือ ท้องเสีย และอาจถ่ายเป็นสีดำ
- ปวดท้องบริเวณชายโครงขวา
- หากมีอาการรุนแรงอาจเกิดอาการเลือดออกผิดปกติตามร่างกาย เช่น เลือดออกตามผิวหนัง เลือดออกที่เยื่อบุคอ หรือเลือดกำเดาไหล เป็นต้น
หากพบว่ามีอาการส่วนใหญ่ตรงกับที่กล่าวมาข้างต้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาโดยทันที
อาการไข้เลือดออก แบ่งออกเป็น 3 ระยะ
ระยะไข้
อาการของผู้ป่วยไข้เลือดออกระยะนี้จะมีไข้สูงตลอดเวลา มักจะไม่ค่อยตอบสนองต่อยาลดไข้ ซึ่งอาจมีอาการเบื่ออาหาร ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และอาจมีผื่นหรือจุดเลือดออกตามตัว ร่วมด้วย โดยระยะไข้นั้นจะใช้เวลาประมาณ 2 – 7 วัน
ระยะวิกฤติ
ในระยะนี้ไข้จะลดต่ำลง ผู้ที่ไม่มีอาการแทรกซ้อน อาการไข้เลือดออกที่เป็นอยู่จะค่อย ๆ ดีขึ้น ส่วนกรณีผู้ป่วยที่มีอาการแทรกซ้อนเลือดออกตามร่างกาย อาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนจะยังไม่ดีขึ้น ซึ่งหากอาการรุนแรง อาจส่งผลให้เกิดภาวะช็อก ความดันต่ำ มือเท้าเย็นลง ชีพจรเต้นเบา (Weak Pulse) และเร็ว ปัสสาวะออกน้อย เลือดออกง่าย เช่น มีเลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระมีสีดำ และอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยอาการระยะนี้จะใช้เวลาประมาณ 24 – 48 ชั่วโมง ดังนั้นหากพบผู้มีอาการไข้เลือดออกเกิน 2 วันควรรีบนำตัวส่งแพทย์ทันที !
ระยะฟื้นตัว
ระยะนี้อาการของผู้ป่วยไข้เลือดออกจะค่อย ๆ ดีขึ้น มีความรู้สึกอยากอาหารเพิ่มขึ้น ความดันโลหิตจะค่อย ๆ ปรับตัวสูงขึ้นจนเข้าสู่สภาวะปกติ ชีพจรเต้นแรง (Bounding Pulse) และช้าลง บางรายอาจยังมีผื่นแดง และจุดเลือดออกเล็ก ๆ ตามตัว
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง อาการไข้เลือดออก ไข้หวัดทั่วไป และไข้หวัดใหญ่
เนื่องจากอาการแสดงของไข้หวัดทั่วไป ไข้หวัดใหญ่ และไข้เลือดออก บางอาการจะมีความคล้ายคลึงกันทำให้หลายท่านอาจเกิดความสับสน โดยทั้ง 3 อาการจะมีความแตกต่างกัน ดังนี้
อาการแสดง | อาการไข้เลือดออก | อาการไข้หวัดทั่วไป | อาการไข้หวัดใหญ่ |
มีไข้ | ไข้สูงกว่า 38° C 2 – 7 วันและลดลงอย่างรวดเร็ว | มีไข้แต่จะทุเลาลงใน 3 – 4 วัน | มีไข้สูงต่อเนื่อง หลายวัน และมีอาการหนาวสั่น |
ปวดเมื่อย |
|
|
|
เจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก มีเสมหะ | อาจเกิดขึ้นได้ในบางราย แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่พบอาการ | มีอาการเล็กน้อย จะดีขึ้นใน 3 – 4 วัน | ไอจากหลอดลมอักเสบ |
หายใจไม่สะดวก | ✖ | อาจหายใจไม่สะดวกจากน้ำมูกอุดตัน | พบได้ในกลุ่มเสี่ยง |
เบื่ออาหาร | ✔ | ✔ | ✔ |
คลื่นไส้ อาเจียน | อาจพบได้ในบางราย | ✖ | อาจพบได้ในบางราย |
ท้องเสีย | อาจท้องผูก
ท้องเสีย หรืออาจถ่ายเป็นสีดำ |
✖ | พบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ |
ผื่นขึ้นบริเวณผิวหนัง | ✔ | ✖ | ✖ |
เลือดออกตามผิวหนัง | ✔ | ✖ | ✖ |
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างอาการไข้เลือดออก, ไข้หวัดทั่วไป และไข้หวัดใหญ่
ขอบคุณข้อมูลจากศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ข้อควรปฏิบัติหากมี อาการไข้เลือดออก
หากพบว่าตนเอง หรือคนรอบข้างมีอาการไข้เลือดออก ควรรีบนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที เนื่องจากในปัจจุบันโรคไข้เลือดออกยังไม่มีวัคซีน หรือยาที่ใช้สำหรับรักษาโรคนี้ที่มีประสิทธิภาพในการต้านไวรัสได้ดีพอ แพทย์จึงจะทำการรักษาไปตามอาการของผู้ป่วย และคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้พ้นช่วงวิกฤติ ที่อาจเสี่ยงต่อการมีเลือดออกตามอวัยวะ นอกจากนี้แพทย์จะรักษาผู้ป่วยตามอาการ เมื่ออาการดีขึ้นจึงจะได้รับการอนุญาตให้กลับไปรักษาตัวเองต่อที่บ้านได้จนกว่าจะหายดีนั่นเอง
แนวทางในการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มี อาการไข้เลือดออก
ผู้ป่วยไข้เลือดออก ที่ได้รับการอนุญาตจากแพทย์มารักษาตัวที่บ้าน มีแนวทางการดูแลรักษา ดังนี้
- ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ และทานอาหารให้เพียงพอ แนะนำให้ทานอาหารอ่อน ๆ และดื่มน้ำบ่อย ๆ โดยสังเกตจากปัสสาวะของผู้ป่วย หากเป็นสีเหลืองเข้ม หรือสีชา แสดงถึงร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ ควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ หรือจิบน้ำเกลือแร่ระหว่างวัน
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสีแดง ดำ หรือน้ำตาล เพื่อป้องกันการสับสนระหว่างสีของอาหาร หรืออาการเลือดออกที่ทางเดินอาหาร
- ลดไข้ด้วยยาพาราเซตามอล เมื่อผู้ป่วยมีไข้สูง ควรให้ผู้ป่วยทานยาตามแพทย์สั่ง หรือให้ทานยาลดไข้ด้วยพาราเซตามอลเท่านั้นโดยต้องระวังไม่ให้ทานมากจนเกินไป เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงจากการทานยาเกินขนาดได้นั่นเอง
- ห้ามทานยากลุ่ม NSAID เด็ดขาด เช่นยา แอสไพริน ไอบรูโพรเฟน เนื่องจากยากลุ่ม NSAID (Non-Steroidal Anti-inflammatory Drugs) อาจทำให้เกล็ดเลือดเสียการทำงาน เป็นสาเหตุให้เลือดออกง่ายมากขึ้นนั่นเอง
- ในช่วงนี้อาจต้องระวังไม่ให้ผู้ป่วยถูกยุงกัด เนื่องจากยุงจะนำเชื้อไวรัสไปแพร่ต่อผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว
- หมั่นสังเกตอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด หากเริ่ม มีภาวะเลือดออกที่รุนแรง มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบาเร็ว อาเจียนมาก ทานอาหาร และน้ำไม่ได้ ปัสสาวะน้อย อ่อนเพลียมาก ซึม มึน งง สับสน ควรรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที
อาการไข้เลือดออก ป้องกันตัวเองอย่างไร
อาการไข้เลือดออก อาจเกิดขึ้นได้จากการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการถูกพาหะนำโรคอย่างยุงลายกัด เพื่อป้องกันตัวเองให้ห่างไกลต่อความเสี่ยงในการได้รับเชื้อไวรัส สามารถป้องกันตนเองได้ ดังนี้
1. ป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด
- สวมเสื้อผ้าที่ปกคลุมร่างกายมิดชิด อย่างเสื้อแขนยาว และกางเกงขายาว
- กางมุ้งนอนเพื่อป้องกันยุงกัดขณะหลับ
- ไม่นั่งอยู่ในมุมมืด เนื่องจากจะเป็นที่ยุงชุม และอาจถูกกัดได้โดยไม่รู้ตัว
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ป้องกันยุง เช่น ยาที่ใช้สำหรับจุดไล่ยุง ครีมทาผิวเพื่อไล่ยุง หรือสติกเกอร์สมุนไพรไล่ยุง
2. กำจัดแหล่งเพาะพันธ์ุยุงลาย
- ปิดภาชนะเก็บน้ำ อย่าง อ่างน้ำ ถังรองน้ำ ฯลฯ ด้วยฝา หรือ ผ้าไนลอน ให้มิดชิดเพื่อป้องกันยุงมาวางไข่
- เปลี่ยนน้ำในแจกันดอกไม้ และเทน้ำขังออกจากถาดรองกระถางต้นไม้เป็นประจำ
- ปิด คว่ำ หรือทำลายวัสดุรอบ ๆ ตัวบ้าน ที่น้ำอาจเข้าไปขังได้ เช่น ขวด กระป๋องเปล่า ยางรถยนต์ที่ไม่ใช้งานแล้ว
3. ฉีดวัคซีนไข้เลือดออก
เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัส ซึ่งปัจจุบันวัคซีนสามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ในเด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป ทั้งนี้วัคซีนจะป้องกันได้ดีในผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสเดงกีมาแล้วเท่านั้น จึงแนะนำให้ตรวจเลือด และปรึกษาแพทย์ก่อนทำการฉีดวัคซีน
ที่มา
ไข้เลือดออกภัยจากยุงลาย จาก โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาการุณย์
ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จาก มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ข้อมูลจากระบบรายงานเฝ้าระวังโรค จาก กรมควบคุมโรค
“โรคไข้เลือดออก”อันตรายจากยุงลาย วายร้ายตัวจิ๋ว จาก คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล