หนึ่งในความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับยาที่หลายคนอาจยังไม่ทราบนั่นคือ ยาปฏิชีวนะ หรือยาฆ่าเชื้อ (ที่เรามักจะคุ้นเคยในยารูปแบบแคปซูลสีฟ้า-เขียว) ซึ่งไม่ใช่ยาตัวเดียวกันกับ ยาแก้อักเสบ แต่ในปัจจุบันนั้น หากเข้าไปในกระทู้ถาม-ตอบ รวมถึงหลายคนไปซื้อยาที่ร้าน มักจะเรียกยาปฏิชีวนะว่ายาแก้อักเสบอยู่บ่อยครั้ง บทความนี้ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส จะพาทุกคนไปทำความรู้จัก และเรียกให้ถูก เมื่อยาปฏิชีวนะไม่ใช่ยาแก้อักเสบ และ “อาการแบบนี้ต้องใช้ยาอะไร” กันค่ะ
สาเหตุที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างยาปฏิชีวนะ และ ยาแก้อักเสบ
เหตุผลที่เกิดข้อเข้าใจผิดระหว่างยา 2 ชนิดนี้ แม้จะไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด แต่นอกจากการเรียกชื่อยาผิด ๆ แบบปากต่อปากแล้ว ในมุมมองของผู้ที่ใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อ แล้วเข้าใจผิดว่าเป็นยาแก้อักเสบ อาจเกิดจากการที่ผู้ป่วยไม่ได้ทราบว่าอาการที่ตนเองเป็นอยู่นั้น เกิดจากสาเหตุอะไรอย่างแน่ชัด ซึ่งหากว่าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การทานยาฆ่าเชื้อเข้าไปจะสามารถช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ให้หายได้
และเมื่อผู้ป่วยมีความเข้าใจผิด ว่าอาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่คืออาการอักเสบทั่วไป เมื่อเภสัชกรทำการจ่าย ‘ยาฆ่าเชื้อ’ ให้ แล้วผู้ป่วยอาการดีขึ้น จึงทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดว่า ยาที่ทานเข้าไป คือ ‘ยาแก้อักเสบ’ นั่นเอง เห็นได้ว่าอาการเจ็บป่วย แม้จะเป็นเพียงอาการเจ็บคอซึ่งอาจถือว่าเป็นอาการที่ไม่รุนแรง แต่กระนั้นเราควรทำความรู้จักเรื่องยายาปฏิชีวนะ หรือ ยาฆ่าเชื้อไว้เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดที่จะเกิดขึ้นในการสั่งยาครั้งถัด ๆ ไป
ทำความรู้จักกับ ยาปฏิชีวนะ หรือ ยาฆ่าเชื้อ
ยาปฏิชีวนะ หรือ ยาฆ่าเชื้อ (Antibiotic) คือ กลุ่มยาที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ หรือยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียเท่านั้น ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ ซึ่งยาปฏิชีวนะไม่มีฤทธิ์ในการแก้ปวดหรือแก้อาการอักเสบ
การทำงานของยาฆ่าเชื้อนั้นจะใช้รักษาในกลุ่มอาการที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบเป็นหนอง กระเพาะปัสสาวะแสบขัดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น
ตัวอย่างยาในกลุ่มยาปฏิชีวนะ หรือ ยาฆ่าเชื้อ ได้แก่
- แอมพิซิลลิน (Ampicillin)
- อะมอกซิซิลลิน (Amoxicillin)
- ออกเมนติน (Augmentin)
ข้อบ่งชี้ และวิธีการใช้ยาปฏิชีวนะ
ยาปฏิชีวนะ ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของเภสัชกรหรือแพทย์เท่านั้น เนื่องจากการใช้ยาในกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยที่แน่ชัดว่าสาเหตุของอาการป่วยที่เป็นอยู่นั้นเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย วิธีการทานยาฆ่าเชื้อ ควรรับประทานหลังอาหาร เพื่อป้องกันการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร และควรทานต่อเนื่องจนหมด เพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา
ข้อควรระวังในการใช้ยาปฏิชีวนะ
ควรใช้ยาฆ่าเชื้อภายใต้คำสั่ง และคำแนะนำของเภสัชกรหรือแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรหยุดทานยาเองเนื่องจากอาจทำให้กลับมาป่วยซ้ำได้อีก หรืออาจส่งผลเสียต่อการรักษาในอนาคตได้ และไม่ควรทานยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ เพราะอาจกระตุ้นให้เชื้อแบคทีเรียกลายพันธุ์ และเกิดการดื้อยาตามมาได้ด้วยเช่นกัน
อ่านรายละเอียดบทความ “ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ ยาฆ่าเชื้อ” ได้ที่นี่
ทำความรู้จักกับ “ยาแก้อักเสบ”
ยาแก้อักเสบ (Anti-inflammatory Drugs) เป็นยาที่มีฤทธิ์ในการลดอาการอักเสบ ลดไข้ บรรเทาอาการปวด เช่น การปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ เคล็ดขัดยอก กล้ามเนื้ออักเสบ เส้นเอ็นอักเสบ ฯลฯ
แต่อย่างไรก็ตาม ยาแก้อักเสบไม่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส ดังนั้น ยาแก้อักเสบจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ในกรณีที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ แต่เกิดจากสาเหตุอื่น เช่น การปวดหลังจากการยกของหนัก การปวดเข่าจากโรคข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น
ตัวอย่างยาในกลุ่มยาแก้อักเสบ
- แอสไพริน (Aspirin)
- ไดโคลฟีแนค (Diclofenac)
- ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)
ข้อบ่งชี้ และวิธีใช้ ยาแก้อักเสบ
ยาแก้อักเสบจะใช้เมื่อมีอาการ ปวด บวม แดง ร้อน ซึ่งเป็นอาการบ่งชี้ของการอักเสบ รับประทานหลังอาหารทันที เพื่อป้องกันการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร
ข้อควรระวังในการใช้ ยาแก้อักเสบ
- อาจเกิดอาการระคายเคืองในลำไส้หรือกระเพาะ
- อาจเกิดเลือดออกในทางเดินอาหาร
- มีอาการหายใจลำบาก หายใจติดขัด
- ไม่แนะนำให้สตรีมีครรภ์ใช้ยา
หากมีอาการดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาทันที
คำแนะนำการใช้ยาแก้อักเสบ
- ทานยาแก้อักเสบให้ตรงตามจุดประสงค์ ยาแต่ละชนิดอาจมีคุณสมบัติที่คล้ายกัน ก่อนรับประทานจึงต้องรู้ถึงวัตถุประสงค์ในการใช้ยาเป็นหลัก เช่น หากมีภาวะอักเสบอื่น ๆ ควรรับประทานยาแก้อักเสบมากกว่าพาราเซตามอล เนื่องจากพาราเซตามอลไม่ได้ออกฤทธิ์ในการต้านอาการอักเสบ แต่จะช่วยในเรื่องบรรเทาอาการปวด
- ปรึกษาเภสัชกรก่อนรับประทานยาแก้อักเสบ ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหรือมีโรคประจำตัว ก่อนรับประทานยาแก้อักเสบควรปรึกษาเภสัชกรและแพทย์อย่างละเอียด เพื่อเป็นการป้องกันผลกระทบข้างเคียงในระหว่างการใช้ยา
- สตรีมีครรภ์และเด็กควรปรึกษาแพทย์ก่อนทานยาแก้อักเสบ สำหรับผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตร สตรีมีครรภ์ หรือคุณแม่ให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยาแก้อักเสบ เนื่องจากยาแก้อักเสบประเภทที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปหรือแพทย์สั่งจ่ายอาจส่งผลอันตรายต่อทารกในครรภ์ ส่วนเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาแอสไพริน เพราะอาจส่งผลเสียต่อตับและสมอง รวมทั้งยังส่งผลอันตรายถึงชีวิตได้
- รับประทานยาแก้อักเสบในปริมาณที่เหมาะสม การรับประทานยาแก้อักเสบตามคำแนะนำของเภสัชกรและแพทย์จะช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้น เพราะการใช้ยาแก้อักเสบในปริมาณที่มากและเป็นระยะเวลานานจะถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลข้างเคียงได้
- อ่านฉลากยาแก้อักเสบอย่างละเอียด ยาบางชนิดมีส่วนผสมของตัวยาหลากหลายประเภท การอ่านฉลากยาอย่างละเอียดจะช่วยให้ผู้รับประทานทราบถึงส่วนผสมในตัวยา เพราะยางบางชนิดมีส่วนผสมของยาหลายตัว ซึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงได้มากยิ่งขึ้น
- ติดตามอาการหลังทานยาแก้อักเสบ หลังจากที่รับประทานยาแก้อักเสบแล้ว ควรติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย หากพบถึงความผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์ในทันที
- เก็บยาแก้อักเสบอย่างเหมาะสม ไม่ควรเก็บยาแก้อักเสบไว้ในบริเวณที่มีความชื้น เช่น ตู้ยาภายในห้องน้ำ อาจทำให้ประสิทธิภาพของตัวยาลดลงก่อนวันอายุ เนื่องจากภายในห้องน้ำมีสภาพอากาศที่อบอ้าว ควรเก็บยาแก้อักเสบภายในอุณหภูมิห้องที่แห้งและมีความเย็น
ผลข้างเคียงของยาแก้อักเสบ
ยาแก้อักเสบอาจมีคุณสมบัติช่วยลดอาการเจ็บปวด ลดไข้ และบรรเทาภาวะอักเสบลงได้ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจมาพร้อมกับอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ โดยผลข้างเคียงจากการรับประทานยาแก้อักเสบที่พบได้บ่อย เช่น คลื่นไส้ ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร ครั่นเนื้อครั่นตัว เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ปวดท้อง ปวดหัว วิงเวียนศีรษะ เป็นต้น หากพบถึงอาการหายใจลำบาก อาเจียนเป็นเลือด มีอุจจาระสีดำ กล้ามเนื้ออ่อนแรง แน่นหน้าอก หรือพูดไม่ชัด ในระหว่างที่รับประทานยาแก้อักเสบ ควรรีบหยุดยาและไปพบแพทย์ในทันที
ควรรับประทานยาแก้อักเสบกี่วัน
สำหรับผู้ที่ป่วยมีไข้ ไม่ควรรับประทานยาแก้อักเสบติดต่อกัน 3 วัน และไม่ควรใช้ยาแก้อักเสบเพื่อบรรเทาอาการปวดเป็นเวลานานเกินกว่า 10 วัน เพราะการใช้ยาแก้อักเสบติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ส่งผลอันตรายเกิดขึ้นได้ ดังนั้น ควรสอบถามวิธีการใช้ยาแก้อักเสบอย่างละเอียดจากเภสัชกรหรือแพทย์ทุกครั้ง
จะเกิดอะไรขึ้นหากเรียกยาผิด จากยาปฏิชีวนะเป็นยาแก้อักเสบ
ผลที่จะตามมาสามารถเกิดขึ้นได้หลายกรณี ตั้งแต่การสื่อสารที่เข้าใจคลาดเคลื่อนระหว่างบุคคล ไปจนถึงส่งผลกระทบต่อระบบภายในร่างกาย เพราะหากซื้อยามาทานด้วยตัวเองบ่อยครั้ง อาจทำให้เชื้อเกิดการดื้อยา เกิดโรคแทรกซ้อนจากการใช้ยา และเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ยาได้นั่นเอง
จึงเป็นเหตุผลว่า หากเกิดอาการไม่สบาย ไม่ควรซื้อยามาทานเอง เนื่องจากจะเกิดผลเสียต่อร่างกาย หากรับประทานยาที่ไม่ถูกโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มยาปฏิชีวนะที่หากทานบ่อยครั้งเกินความจำเป็น อาจก่อนให้เกิดอาการเชื้อดื้อยาตามมาได้ ดังนั้นควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือซื้อกับเภสัชกรจากร้านยาที่น่าเชื่อถือเท่านั้
สรุปความแตกต่างระหว่างยาปฏิชีวนะ และ ยาแก้อักเสบ
จากทั้งหมดที่ได้กล่าวไปข้างต้นสามารถสรุปออกมาเป็นตารางได้ ดังนี้
ยาปฏิชีวนะ
(Antibiotic) |
ยาแก้อักเสบ
(Anti-inflammatory Drugs) |
|
ลดอาการอักเสบ | ✘ | ✔ |
ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย | ✔ | ✘ |
ฆ่าเชื้อไวรัส | ✘ | ✘ |
จำเป็นต้องทานต่อเนื่องจนหมด | ✔ | ✘ |
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านที่อาจมีข้อสงสัย และเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างยาปฏิชีวนะ และยาแก้อักเสบ มากยิ่งขึ้น อย่าลืมแชร์บทความดี ๆ ไปให้คนที่คุณรักกันนะคะ ด้วยความปรารถนาดีจากร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส