เช็กอาการของโรคบิดที่ห้ามละเลย ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

เช็กอาการของโรคบิดที่ห้ามละเลย ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

การปวดท้องหรือท้องเสียเป็นอาการที่หลายคนเคยประสบ แต่หากสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่อาการเหล่านี้มาพร้อมกับการถ่ายอุจจาระที่ผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อมีมูกหรือเลือดปน นั่นอาจเป็นสัญญาณของโรคบิด ที่ไม่ควรมองข้าม 

ทั้งนี้ โรคบิด ไม่ใช่โรคน่ากลัวแต่อย่างใด ซึ่งในบทความนี้ ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโรคบิด เพื่อให้ได้เข้าใจสาเหตุ วิธีสังเกตอาการ และการดูแลตนเองในเบื้องต้น รวมถึงเมื่อใดควรพบแพทย์เพื่อรักษาได้อย่างทันท่วงที 

 

โรคบิด คืออะไร? สาเหตุและการเกิดโรค 

โรคบิด (Dysentery) เป็นโรคติดเชื้อที่ทำให้เกิดการอักเสบของลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องบิด ถ่ายเหลว และมีอุจจาระปนเลือด สาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อ 2 ประเภทหลัก คือ  

 

  1. โรคบิด จากเชื้อแบคทีเรีย หรือบิดชนิดไม่มีตัว (Bacillary Dysentery)

เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในกลุ่มชิเกลล่า (Shigella) ที่นิยมเรียกว่า “บิดไม่มีตัว” เนื่องจากตัวเชื้อมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า โรคบิดจากแบคทีเรียมีความสามารถในการแพร่กระจายได้ง่ายมาก การติดต่อจะเกิดขึ้นเมื่อสิ่งปนเปื้อนจากอุจจาระของผู้ป่วยเข้าสู่ปากของอีกบุคคลหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในหลายสถานการณ์ เช่น 

  • การเตรียมอาหารโดยผู้ที่มีสุขอนามัยไม่ดี 
  • การดื่มน้ำที่ปนเปื้อน 
  • การมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะบริเวณทวารหนัก 

เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เชื้อชิเกลล่าจะเข้าไปทำลายเซลล์เยื่อบุลำไส้ใหญ่โดยตรงและปล่อยสารพิษที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง ทำให้เกิดอาการของโรคบิดจากแบคทีเรียที่รุนแรงได้ 

 

2. โรคบิดจากโปรโตซัว (Amoebic Dysentery) 

เกิดจากเชื้อโปรโตซัวชื่อ เอนตามีบา ฮิสโตไลติคา (Entamoeba Histolytica) หรือที่เรียกว่า “บิดมีตัว” เพราะสามารถมองเห็นตัวเชื้อได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ เชื้อนี้มักพบในแหล่งน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อนอุจจาระของผู้ป่วย เมื่อเข้าสู่ร่างกาย อะมีบาจะไชเข้าเยื่อบุลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดการอักเสบและเป็นแผลในลำไส้ได้ลึกกว่าบิดแบคทีเรีย ในบางกรณี อะมีบาสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ เช่น ตับ สมอง และปอดได้ 

 

ระยะฟักตัวและการพัฒนาของ โรคบิด 

เชื้อทั้งสองชนิดต้องใช้เวลาฟักตัวประมาณ 1-7 วัน หลังได้รับเชื้อ ซึ่งเชื้อกำลังเพิ่มจำนวนในระบบทางเดินอาหาร ในระยะนี้ผู้ป่วยจะไม่แสดงอาการใด ๆ 

การพัฒนาของโรค จะเริ่มจากอาการไม่สบายท้องเล็กน้อย ต่อมาจะมีอาการปวดท้องบิดและถ่ายเหลว ในระยะแรกอาจเป็นอุจจาระเหลวธรรมดา แต่เมื่อการอักเสบรุนแรงขึ้น จะพบมูกและเลือดปนในอุจจาระ 

สำหรับโรคบิดจากแบคทีเรีย หากไม่รักษา อาการมักคงอยู่ 5-7 วัน และอาจหายเองได้ แต่โรคบิดจากอะมีบาที่ไม่ได้รับการรักษา เชื้ออาจลุกลามเข้ากระแสเลือดและไปยังอวัยวะอื่น ๆ โดยเฉพาะตับ ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ 

 

อาการของโรคบิดที่ห้ามละเลย

อาการของโรคบิดที่ห้ามละเลย

 

โรคบิดมีลักษณะอาการเฉพาะที่สามารถสังเกตได้ ซึ่งการรู้จักอาการแสดงต่าง ๆ เหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้ตระหนักถึงความเสี่ยง แต่ยังสามารถช่วยให้แพทย์วินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้อย่างทันท่วงที  

 

อาการหลักของ โรคบิด 

  1. ปวดท้องบิด

ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องจุก ๆ บิด ๆ เป็นพัก ๆ บริเวณท้องน้อย มักมีลักษณะปวดบิดเกร็ง เกิดจากการบีบตัวของลำไส้ที่อักเสบ อาการปวดท้องบิดมักทวีความรุนแรงก่อนถ่ายอุจจาระ 

  1. ถ่ายอุจจาระบ่อย

ผู้ป่วยจะถ่ายท้องปวดท้องบิด ถ่ายเหลวหรือเป็นน้ำแทบทันทีหลังกินอาหาร และมีอาการปวดท้องบิดร่วมด้วย อาจถ่ายได้มากกว่า 10 ครั้งต่อวัน  

  1. อุจจาระมีมูกเลือดปน

ลักษณะเด่น คือ พบมูกเลือดในอุจจาระ โดยเฉพาะในกรณีของบิดจากเชื้ออะมีบา อุจจาระจะมีสีแดงอมน้ำตาลคล้าย “น้ำล้างเนื้อสัตว์” จากเลือดที่ปนออกมา 

  1. เบ่งถ่ายลำบาก

ผู้ป่วยมักมีความรู้สึกอยากถ่ายตลอดเวลาแม้จะเพิ่งถ่ายไปแล้ว และต้องเบ่งอย่างมากเมื่อถ่าย เนื่องจากลำไส้ใหญ่อักเสบและบวม 

  1. มีไข้

อาการไข้มักพบในโรคบิดที่เกิดจากแบคทีเรีย ซึ่งผู้ป่วยอาจมีไข้สูงถึง 40 องศาเซลเซียส พร้อมกับอาการหนาวสั่น 

  1. คลื่นไส้อาเจียน

อาการท้องเสีย ปวดท้องบิด อาจมาพร้อมกับอาการคลื่นไส้และปวดท้องบิดโดยเฉพาะเมื่อกินอาหารแล้วปวดท้องบิดอาเจียน 

 

สัญญาณเตือนอาการ โรคบิด ที่ต้องพบแพทย์โดยด่วน 

เมื่อพบอาการต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที 

  • อุจจาระมีเลือดปนมาก เป็นสัญญาณของการอักเสบรุนแรงและอาจมีการฉีกขาดของเยื่อบุลำไส้ 
  • อาการขาดน้ำรุนแรง ปากแห้ง คอแห้ง ผิวแห้ง ปัสสาวะน้อยลงหรือเข้มขึ้น อ่อนเพลียมาก 
  • ไข้สูงเกิน 39 องศาเซลเซียส อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด 
  • ปวดท้องรุนแรงและท้องแข็ง อาจเป็นสัญญาณของภาวะลำไส้ทะลุ หรือ การติดเชื้อในช่องท้อง 
  • อาการไม่ดีขึ้นหลังรักษาด้วยยาภายในเวลา 48 ชั่วโมง อาจเป็นเชื้อดื้อยาหรือโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกัน 

 

การรักษา โรคบิด 

การรักษาโรคบิดแตกต่างกันตามชนิดของเชื้อก่อโรค ความรุนแรงของอาการ และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น 

 

  1. การรักษาโรคบิดจากแบคทีเรีย (ชิเกลล่า)

1.1 การใช้ยาปฏิชีวนะ เป็นวิธีการรักษาหลักสำหรับบิดแบคทีเรีย โดยยาที่นิยมใช้ ได้แก่  

  • Ciprofloxacin 
  • Azithromycin 
  • Ceftriaxone 
  • Trimethoprim-sulfamethoxazole (ในกรณีที่เชื้อไม่ดื้อยา) 

ซึ่งระยะเวลาการรักษามักอยู่ที่ 3-5 วัน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค 

1.2 การรักษาแบบประคับประคอง 

ด้วยการให้สารน้ำทดแทน ทั้งการดื่มน้ำเกลือแร่และการให้สารน้ำทางเส้นเลือดในกรณีที่ขาดน้ำรุนแรง 

ยาบรรเทาอาการปวด (ควรหลีกเลี่ยงยา Loperamide ที่ทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวช้าลง เพราะอาจทำให้เชื้อคงอยู่ในลำไส้นานขึ้น) 

 

  1. การรักษาโรคบิดจากอะมีบา

2.1 ยาต้านอะมีบา ต้องใช้ยาเฉพาะที่ออกฤทธิ์ต่อเชื้ออะมีบา  

  • Metronidazole หรือ Tinidazole ใช้เป็นยาหลักในการกำจัดเชื้อในลำไส้ และบริเวณเนื้อเยื่อ 
  • Paromomycin, Iodoquinol หรือ Diloxanide furoate ใช้กำจัดเชื้อที่อยู่ในลูเมน หรือช่องว่างภายในของลำไส้ 

  ซึ่งการรักษามักใช้เวลา 7-10 วัน และอาจต้องให้ยามากกว่าหนึ่งชนิดร่วมกัน 

2.2 การรักษาภาวะแทรกซ้อน 

  • หากมีฝีในตับจากอะมีบา อาจต้องระบายหนองออกโดยการผ่าตัดหรือเจาะระบาย 
  • การให้สารอาหารทางเส้นเลือด ในกรณีที่มีการดูดซึมอาหารผิดปกติ 

 

วิธีการป้องกัน และดูแล โรคบิด

วิธีการป้องกัน และดูแลโรคบิด

 

การป้องกัน รคบิด คือกุญแจสำคัญในการรักษาสุขภาพให้ห่างไกลจากความเจ็บป่วย ซึ่งการรู้วิธีลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อ และการดูแลตนเองเบื้องต้นจะช่วยใหปลอดภัยมากยิ่งขึ้น 

 

  1. สุขอนามัยส่วนบุคคล

  • ล้างมืออย่างถูกวิธี  

ใช้สบู่และน้ำสะอาดล้างมือให้ทั่วเป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที โดยเฉพาะในช่วงเวลาเสี่ยงสัมผัสเชื้อมากที่สุด ได้แก่ หลังใช้ห้องน้ำ, ก่อนเตรียมหรือรับประทานอาหาร, หลังสัมผัสสัตว์, หลังเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก และหลังกลับจากที่สาธารณะ  

  • ดูแลสุขลักษณะเล็บมือ 

ตัดเล็บให้สั้นและสะอาดอยู่เสมอ เนื่องจากเชื้อโรคบิดมักซ่อนตัวอยู่ใต้เล็บที่ยาว ควรทำความสะอาดใต้เล็บด้วยแปรงขนนุ่มเป็นประจำ  

  • แยกของใช้ส่วนตัว  

หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าเช็ดตัว, ผ้าเช็ดหน้า, แปรงสีฟัน หรือของใช้ส่วนตัวอื่น ๆ ร่วมกับผู้อื่น แม้กระทั่งสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะหากมีผู้ป่วยโรคบิด  

  • ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทำความสะอาด  

ทำความสะอาดพื้นผิวที่มีการสัมผัสบ่อย เช่น ลูกบิดประตู, ก๊อกน้ำ, โถสุขภัณฑ์ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเป็นประจำ โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีผู้ป่วย 

 

  1. ด้านอาหารและน้ำ

  • การจัดการน้ำดื่ม
    ดื่มเฉพาะน้ำที่ผ่านการต้มเดือดอย่างน้อย 1 นาที, น้ำที่ผ่านเครื่องกรองที่ได้มาตรฐาน หรือน้ำบรรจุขวดที่ปิดสนิท หากอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงของโรคบิดสูง ควรใช้น้ำสะอาด ในทุกกิจกรรม เช่น การแปรงฟัน เป็นต้น 
  • การปรุงอาหารอย่างปลอดภัย
    ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึง โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ต้องมีอุณหภูมิโดยรวมอย่างน้อย 70 องศาเซลเซียส เพื่อทำลายเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อน  
  • การเก็บรักษาอาหาร 
    แยกอาหารดิบและอาหารปรุงสุกออกจากกัน เก็บอาหารในภาชนะปิดสนิทและแช่เย็นหากไม่ได้รับประทานทันที ไม่ปล่อยให้อาหารปรุงสุกอยู่ในอุณหภูมิห้องนานเกิน 2 ชั่วโมง 
  • การล้างผักผลไม้
    แช่ผักและผลไม้ในน้ำสะอาดที่ผสมน้ำส้มสายชูหรือเกลือ จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งก่อนรับประทาน หรือลอกเปลือกออกหากเป็นไปได้  
  • การเลือกร้านอาหาร
    สังเกตความสะอาดของร้านอาหาร พนักงาน และอุปกรณ์ หลีกเลี่ยงร้านที่มีแมลงวัน หรืออาหารที่วางโดยไม่มีการปกปิด เลือกร้านที่มีการปรุงอาหารสดใหม่ต่อหน้า 

 

  1. การเดินทางไปพื้นที่เสี่ยง

  • การเตรียมตัวล่วงหน้า 
    ศึกษาข้อมูลสถานการณ์การระบาดในพื้นที่ที่จะเดินทางไป เตรียมยาและอุปกรณ์ปฐมพยาบาลไปด้วย เช่น ผงเกลือแร่ ยาลดไข้ และน้ำยาฆ่าเชื้อสำหรับมือ  
  • อาหารและเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยง 
    น้ำจากก๊อก, น้ำแข็ง, ไอศกรีม, นมที่ไม่ผ่านการการพาสเจอไรซ์, อาหารทะเลดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ, ผักสด, และผลไม้ที่ปอกเปลือกแล้ว  
  • อาหารที่ปลอดภัย
    อาหารที่ปรุงสุกร้อน ๆ, ขนมปังที่อบแล้ว, ผลไม้ที่ปอกเปลือกเอง, น้ำดื่มที่ต้มเอง หรือเครื่องดื่มบรรจุขวดที่ปิดสนิท  
  • การใช้ห้องน้ำสาธารณะ
    พยายามหลีกเลี่ยงหากเป็นไปได้ และล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังใช้ 

 

4. การป้องกันในระดับชุมชนและครัวเรือน 

  • การจัดการสุขาภิบาล
    ตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบบำบัดน้ำเสียและการกำจัดอุจจาระทำอย่างถูกสุขลักษณะ ไม่ปล่อยให้มีการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ  
  • การควบคุมแมลงพาหะนำโรค
    กำจัดแมลงวันและแมลงอื่น ๆ ที่อาจเป็นพาหะนำเชื้อโรคบิด ปิดถังขยะให้มิดชิด และเก็บอาหารในภาชนะปิดสนิท 
     
  • การให้ความรู้
    แบ่งปันความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคบิดกับสมาชิกในครอบครัวและชุมชน โดยเฉพาะการล้างมือที่ถูกวิธีและการรับประทานอาหารที่ปลอดภัย  
  • กรณีมีผู้ป่วย
    แยกเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ป่วยโดยเฉพาะผ้าเช็ดตัวและของใช้ในห้องน้ำ ซักเสื้อผ้าและผ้าปูที่นอนของผู้ป่วยด้วยน้ำร้อนและผงซักฟอกเพื่อฆ่าเชื้อ 

 

  1. การดูแลตนเองเมื่อเริ่มมีอาการของ โรคบิด

การชดเชยการสูญเสียน้ำและเกลือแร่อย่างมีประสิทธิภาพ 

  • การเตรียมสารละลายเกลือแร่ (ORS)
    ผสมผงเกลือแร่ 1 ซองกับน้ำสะอาด 1 ลิตร คนให้ละลายสนิท หรือเตรียมเองโดยผสมน้ำตาล 6 ช้อนชา เกลือ 1/2 ช้อนชา ในน้ำสะอาด 1 ลิตร  
  • ปริมาณและความถี่ในการดื่ม
    ดื่มเล็กน้อยแต่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะหลังถ่ายอุจจาระทุกครั้ง ผู้ใหญ่ควรดื่ม 200-400 มล. หลังถ่ายแต่ละครั้ง เด็กควรดื่ม 50-100 มล. หรือตามคำแนะนำของแพทย์  
  • สังเกตสีปัสสาวะเพื่อประเมินภาวะขาดน้ำ
    ปัสสาวะควรมีสีเหลืองอ่อนใส หากมีสีเข้มหรือปริมาณน้อยลง อาจแสดงถึงภาวะขาดน้ำที่ต้องเพิ่มการดื่มน้ำ  
  • เครื่องดื่มที่แนะนำ
    นอกจากสารละลายเกลือแร่ ยังสามารถดื่มน้ำซุปใส น้ำข้าว หรือน้ำมะพร้าวที่ไม่มีน้ำตาลเพิ่มได้  
  • เครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยง
    งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน (กาแฟ ชา น้ำอัดลม) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด และน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวจัดหรือมีน้ำตาลสูง เพราะอาจทำให้อาการท้องเสียแย่ลง 

การรับประทานอาหารที่เหมาะสมระหว่างเป็นโรคบิด 

  • อาหารที่ควรรับประทาน
    ข้าวต้ม, โจ๊ก, ซุปใส, มันฝรั่งต้ม, ไข่ต้มสุก, ปลาต้ม, เนื้อไก่ต้มฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ, แคร็กเกอร์ไม่มีรส, และผักต้มสุกนิ่ม  
  • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด
    อาหารมัน, อาหารทอด, อาหารรสจัด, อาหารรสเผ็ด, อาหารที่มีกากใยสูง, ผลิตภัณฑ์นม, อาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส (ถั่ว, บรอกโคลี, หัวหอม, พริกหยวก), ขนมหวาน และอาหารแปรรูป  
  • การปรับอาหาร
    เริ่มจากอาหารเหลวหรืออ่อน เมื่ออาการดีขึ้น จึงค่อย ๆ เพิ่มปริมาณและชนิดของอาหาร สามารถกลับสู่การรับประทานอาหารปกติภายใน 2-3 วันหลังอาการดีขึ้น  
  • การรับประทานอาหารครั้งละน้อยแต่บ่อยครั้ง
    แบ่งมื้ออาหารเป็น 5-6 มื้อเล็ก ๆ แทนที่จะเป็น 3 มื้อใหญ่ เพื่อลดความเครียดต่อระบบย่อยอาหาร 

ยาและผลิตภัณฑ์ที่ควรมีติดบ้านสำหรับกรณีฉุกเฉิน 

  • ผงเกลือแร่ (ORS)
    ควรมีสำรองไว้เสมอ เลือกชนิดที่ได้มาตรฐาน เก็บให้พ้นมือเด็กและในที่แห้ง สังเกตวันหมดอายุ  
  • ยาลดไข้พาราเซตามอล
    ช่วยบรรเทาอาการไข้และปวด ให้อ่านขนาดยาตามคำแนะนำบนฉลาก ระวังการใช้เกินขนาดที่แนะนำ  
  • น้ำยาฆ่าเชื้อสำหรับทำความสะอาดมือ
    เลือกชนิดที่มีแอลกอฮอล์อย่างน้อย 60% สำหรับใช้ในกรณีที่ไม่สามารถล้างมือด้วยสบู่และน้ำได้  
  • เทอร์โมมิเตอร์
    สำหรับวัดอุณหภูมิร่างกายเพื่อติดตามอาการไข้  
  • ยาที่ควรหลีกเลี่ยง
    ยาแก้ท้องเสียประเภท Loperamide ไม่แนะนำให้ใช้ในโรคบิด เพราะจะทำให้เชื้อตกค้างในลำไส้นานขึ้น และห้ามใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่มีคำสั่งแพทย์เด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดเชื้อดื้อยาและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา 

การพักผ่อน 

  • การพักผ่อนอย่างเพียงพอ
    นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูตัวเอง  
  • การลดความเครียด
    ความเครียดอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ควรหากิจกรรมผ่อนคลายที่เหมาะสม เช่น การฟังเพลง การหายใจลึก ๆ หรือการอ่านหนังสือ  
  • การติดตามอาการ
    จดบันทึกอาการเปลี่ยนแปลง จำนวนครั้งที่ถ่าย ลักษณะอุจจาระ ระดับไข้ และอาการอื่น ๆ เพื่อรายงานแพทย์ได้อย่างละเอียด  

 

การใช้สิทธิบัตรทองเพื่อบรรเทาอาการจาก โรคบิด 

สำหรับผู้ที่มีอาการท้องเสีย ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน จาก โรคบิด สามารถใช้สิทธิบัตรทองเพื่อรับบริการที่ร้านยาที่เข้าร่วม “โครงการร้านยาคุณภาพของฉัน ให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 32 อาการ” ได้ ซึ่งจะมีเภสัชกรคอยให้คำปรึกษา และจ่ายยาที่จำเป็น เช่น ยาแก้ท้องเสีย ยาแก้ปวด ยาบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น  

 

ผู้ที่ต้องการใช้สิทธิบัตรทองสำหรับบรรเทาอาการจากโรคบิดที่ร้านยา สามารถตรวจสอบรายชื่อร้านยาใกล้บ้านได้ผ่านแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) [ เช็กรายชื่อร้านยาได้ที่นี่ ] โดยร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ได้เข้าร่วมโครงการสิทธิบัตรทอง พร้อมให้บริการ Delivery จัดส่งยาและสินค้าสุขภาพถึงบ้าน ผ่านแอปพลิเคชัน ALL PharmaSee  

 

ใช้บริการ Delivery คลิกเลย! 

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ โรคบิด 

Q: กินอาหารแล้วปวดท้องบิด เป็นโรคบิดหรือไม่? 

A: ไม่ได้หมายความว่าเป็นโรคบิดเสมอไป อาจเกิดจากโรคลำไส้แปรปรวน หรือการแพ้อาหารบางชนิด ควรสังเกตอาการอื่นร่วมด้วย โดยเฉพาะหากมีท้องเสีย มูกหรือเลือดในอุจจาระ ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยที่ถูกต้อง 

 

Q: ถ่ายเหลวปวดท้องบิด แต่ไม่มีมูกเลือด จะเป็นโรคบิดหรือไม่? 

A: โรคบิดมักมีอาการถ่ายเหลวและปวดท้องบิดร่วมกับมูกหรือเลือดในอุจจาระ แต่ในระยะแรกอาจยังไม่พบเลือด หากมีอาการถ่ายเหลวและปวดท้องบิดต่อเนื่องนานกว่า 2-3 วัน หรือมีไข้ร่วมด้วย ควรพบแพทย์ 

 

Q: ท้องเสียปวดบิดคลื่นไส้ ต้องรักษาอย่างไร? 

A: เมื่อมีอาการท้องเสียปวดบิดคลื่นไส้ ควรดื่มสารละลายเกลือแร่มาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย หากพบอาการรุนแรง เช่น มีไข้สูง เลือดปนในอุจจาระ ปวดท้องบิดรุนแรง หรืออาการไม่ดีขึ้นใน 48 ชั่วโมง ควรรีบพบแพทย์ ที่สำคัญไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะหรือยาหยุดถ่ายมาใช้เองเพราะอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น 

 

สรุป 

โรคบิด เป็นการติดเชื้อที่ทำให้ลำไส้ใหญ่อักเสบ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือโปรโตซัว ติดต่อผ่านอาหารและน้ำที่ปนเปื้อน อาการสำคัญคือปวดท้องบิด ถ่ายเหลวบ่อย และมีมูกเลือดในอุจจาระ การป้องกันที่ดีที่สุดคือรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ล้างมือให้สะอาด และรับประทานอาหารที่ปรุงสุกทั่วถึง หากมีอาการ ควรดื่มสารละลายเกลือแร่ทดแทน และพบแพทย์ทันทีเมื่อพบสัญญาณอันตราย เช่น ขาดน้ำรุนแรง ไข้สูง หรือมีเลือดในอุจจาระมาก การดูแลรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงทีจะช่วยให้หายได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย 

 

ที่มา 

Dysentery จาก Cleveland Clinic 

Dysentery บทความจาก WebMD

 


อัปเดตและติดตามสาระสุขภาพดี ๆ จาก ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ได้ที่

LINE: @eXtaPlus (https://bit.ly/eXtaplus)

 

หากมีข้อสงสัย หรืออยากสอบถามเพิ่มเติม เกี่ยวกับเรื่อง สุขภาพและการใช้ยา สามารถปรึกษากับเภสัชกรได้ที่ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสะดวกมากยิ่งขึ้น สามารถปรึกษาเภสัชกรร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ผ่าน Application ALL PharmaSee ได้ แล้วมาสุขภาพดีไปด้วยกันนะคะ

All Pharma See

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายการใช้คุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์และประเมินผลใช้งาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ช่วยให้เอ็กซ์ต้าเห็นการปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้งานในการใช้บริการเว็บไซต์ของเอ็กซ์ต้า รวมถึงหน้าเพจหรือพื้นที่ใดของเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยม ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมูลด้านอื่นๆ เอ็กซ์ต้ายังใช้ข้อมูลนี้เพื่อการปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์และเพื่อเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งาน อย่างไรก็ดี ข้อมูลที่คุกกี้นี้เก็บรวบรวมจะเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้และนำมาใช้วิเคราะห์ทางสถิติเท่านั้น การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้เอ็กซ์ต้าไม่สามารถทราบปริมาณผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ และไม่สามารถประเมินคุณภาพการให้บริการได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการโฆษณา (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้เป็นคุกกี้ที่เกิดจากการเชื่อมโยงเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม ซึ่งเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานและเว็บไซต์ที่ท่านได้เข้าเยี่ยมชม เพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่นที่ไม่ใช่เว็บไซต์ของเอ็กซ์ต้า ทั้งนี้หากท่านปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะไม่ส่งผลต่อการใช้งานเว็บไซต์ของเอ็กซ์ต้า แต่จะส่งผลให้การนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่นๆ ไม่สอดคล้องกับความสนใจของท่าน
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึก