วิตามินซี มีประโยชน์อย่างไร ทานอย่างไรถึงจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน

วิตามินซี มีประโยชน์อย่างไร ทานอย่างไรถึงจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน

ชีวิตประจำวันที่เราต้องเจอกับมลภาวะ ความเครียด หรือเชื้อโรค ทำให้ร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยบ่อย หรือรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว อ่อนเพลียง่าย ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องหาวิธีดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการใช วิตามินซ เป็นหนึ่งในตัวช่วยที่หลายคนเลือกใช้เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน แต่หลายคนอาจไม่มั่นใจว่าควรทานเท่าไร เวลาไหน หรือควรเลือกรูปแบบไหนดี 

 

บทความนี้ ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส จึงได้รวบรวมข้อมูลดี ๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ “วิตามินซี มีประโยชน์อย่างไร ทานอย่างไรถึงจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน” มาฝากกัน จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจวิตามินซีอย่างถูกต้อง เลือกซื้อได้ย่างมั่นใจ และทานให้ได้ประโยชน์อย่างถูกต้อง 

 

วิตามินซี คืออะไร และสำคัญต่อร่างกายอย่างไร 

วิตามินซี (Vitamin C)  

 

วิตามินซี (Vitamin C)

 

วิตามินซี หรือกรดแอล-แอสคอร์บิก (L-ascorbic acid) เป็นวิตามินที่ละลายน้ำได้ ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากอาหารที่บริโภคหรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริม วิตามินซีพบตามธรรมชาติในผัก และผลไม้บางชนิด และมักถูกเติมลงในอาหารหรือเครื่องดื่มเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ รวมถึงมีจำหน่ายใน รูปแบบอาหารเสริมหลากหลายรูปแบบ 

 

วิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์คอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Supporting Tissue) ในร่างกาย เช่น ผิวหนัง กระดูก ฟัน และเส้นเอ็น, รวมถึงมีส่วนช่วยในการสร้าง แอลคาร์นิทีน (L-carnitine) และสารสื่อประสาทบางชนิดด้วย นอกจากนี้ วิตามินซียังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีบทบาทในการปกป้องเซลล์ และเนื้อเยื่อจากความเสียหาย ดังนั้นการได้รับวิตามินซีในปริมาณที่เหมาะสมเป็นประจำ จึงเป็นสิ่งสำที่ช่วยให้สุขภาพดี 

 

การดูดซึมวิตามินซีในร่างกายนั้นมีปริมาณที่จำกัด โดยขึ้นอยู่กับปริมาณที่บริโภค หากได้รับในระดับปานกลาง (30–180 มิลลิกรัมต่อวัน) ร่างกายจะสามารถดูดซึมได้ประมาณ 70%-90% แต่หากบริโภคมากกว่า 1 กรัม/วัน อัตราการดูดซึมจะลดลงต่ำกว่า 50% และวิตามินซีส่วนเกินจะถูกขับออกทางปัสสาวะ โดยทั่วไปปริมาณวิตามินซีในร่างกายมีตั้งแต่ 300 มิลลิกรัม (ใกล้ภาวะลักปิดลักเปิด) จนถึงประมาณ 2 กรัม และมักจะพบวิตามินซีที่มีความเข้มข้นสูงอยู่ในเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้แก่ เม็ดเลือดขาว ดวงตา ต่อมหมวกไต ต่อมใต้สมอง และสมอง ในขณะที่ความเข้มข้นของวิตามินซีที่อยู่พลาสมา น้ำลาย และเม็ดเลือดแดงดงจะมีระดับที่ต่ำกว่า 

 

ทำไมร่างกายจึงต้องการ วิตามินซี ทุกวัน 

เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้าง และเก็บสะสมวิตามิน c ในปริมาณมากได้ การได้รับวิตามินซีอย่างสม่ำเสมอทุกวันจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยจะทำหน้าที่ได้หลากหลาย ตั้งแต่การเสริมสร้างและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนหลักในการคงความยืดหยุ่น และความแข็งแรงของผิวหนัง รวมถึงเส้นเลือด และอวัยวะต่าง ๆ นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดขาวมีประสิทธิภาพในการต่อสู้เชื้อโรค และช่วยลดระยะเวลาการเจ็บป่วยเมื่อเกิดการติดเชื้อ  

 

ประโยชน์ของวิตามินซีต่อการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน 

การกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว 

เซลล์เม็ดเลือดขาวเป็นปราการด่านแรกในการต่อสู้กับเชื้อโรค และสารแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย วิตามินซีที่ได้รับเข้าไปจะมีส่วนช่วยกลไกกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาว ดังนี้ 

 

  • วิตามิน c ทำหน้าที่เป็นโคแฟกเตอร์ (Cofactor) ให้กับเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการป้องกันภูมิคุ้มกันโดยรวม  
  • มีส่วนช่วยในการส่งเสริมการทำงานของทั้งระบบภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด (Innate Immunity) และระบบภูมิคุ้มกันแบบปรับตัว (Adaptive Immunity 
  • ช่วยทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาว โดยเฉพาะกลุ่มเซลล์ฟาโกไซต์อย่างนิวโทรฟิล ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเซลล์เหล่านี้จะเคลื่อนตัวเข้าไปยังบริเวณที่มีการติดเชื้อได้รวดเร็วขึ้น (Chemotaxis) และสามารถจับรวมถึงกลืนกินเชื้อโรคเพื่อนำไปทำลายได้ดียิ่งขึ้น (Phagocytosis) 

 

ต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบ 

วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ เพราะมีความสามารถในการให้และรับอิเล็กตรอน คือ วิตามินซีทำหน้าที่เป็น “ผู้บริจาค” อิเล็กตรอน ช่วยลดจำนวนอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายในร่างกาย และช่วยลดความเครียดออกซิเดชันที่ทำให้อนุมูลอิสระและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายไม่สมดุลกัน ซึ่งเป็นสาเหตุของความเสียหายต่อเซลล์และเนื้อเยื่อ นำไปสู่การอักเสบเรื้อรัง และการเกิดโรคเรื้อรังหลายชนิด

  

ในขณะเดียวกัน วิตามินยังสามารถ “รับ” อิเล็กตรอนได้ด้วย ทำให้วิตามินดังกล่าวมีความเสถียร และสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ วิตามิน c จึงกลายเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง มีส่วนช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด พร้อมทั้งมีความสามารถในการป้องกันหรือชะลอการพัฒนาโรคมะเร็งบางชนิด 

 

การช่วยดูดซึมธาตุเหล็กและระบบเม็ดเลือดแดง 

นอกเหนือจากการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยตรงแล้ว วิตามินซียังช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก หรือ ซิงค์ (zinc) ชนิดที่ไม่ใช่ฮีม (Nonheme Iron) ซึ่งพบในพืช การรับวิตามินซีร่วมกับอาหารที่มีธาตุเหล็กจะช่วยให้ร่างกายใช้ประโยชน์จากธาตุเหล็กได้ดีขึ้น ส่งผลให้ระดับเม็ดเลือดแดงแข็งแรง ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะโลหิตจาง และช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการกระจายสารอาหารและออกซิเจนไปยังเซลล์ภูมิคุ้มกันและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย 

 

การขาดวิตามินซี และการป้องกันการติดเชื้อ 

การขาดวิตามินซีส่งผลให้ภูมิคุ้มกันลดลง ทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อมีการติดเชื้อหรืออักเสบ ร่างกายจะใช้วิตามิน c มากขึ้น เนื่องจากมีความต้องการด้านเมตาบอลิซึม และการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น วิตามินซีจึงมีความสำคัญทั้งในการป้องกัน (Prophylactic) และการรักษา (Therapeutic) การได้รับวิตามิน c เพียงพอจากอาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริม (อย่างน้อย 100–200 มก./วัน) จะช่วยให้ระดับวิตามินซีในพลาสมา และเนื้อเยื่อเพียงพอต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในภาวะปกติ 

  

ขณะเดียวกัน หากมีการติดเชื้อและเกิดการอักเสบอย่างรุนแรง ร่างกายอาจต้องการวิตามินซีในปริมาณที่สูงขึ้น เพื่อตอบสนองกับความต้องการเมตาบอลิซึมที่เพิ่มขึ้น และช่วยลดผลเสียจากปฏิกิริยาการอักเสบ ทำให้การฟื้นตัวเร็วขึ้นและลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ 

  

ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย วิตามินซีนั้นมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพรอบด้าน มีส่วนช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่รักษาความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของผิวหนัง ช่วยลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวพรรณดูสุขภาพดีมากขึ้น นอกจากนี้ วิตามินซียังมีส่วนช่วยในการสมานแผลและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหายเร็วขึ้น และกระบวนการฟื้นฟูร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพออย่างสม่ำเสมอ จึงช่วยส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรงและพร้อมเผชิญกับความท้าทายด้านสุขภาพต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น 

 

แหล่งอาหารที่อุดมด้วย วิตามินซี

 

หล่งอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี

ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง 

ผลไม้รสเปรี้ยวอย่างส้ม ฝรั่ง มะขามป้อม กีวี และสตรอว์เบอร์รี รวมถึงผลไม้ชนิดอื่น ๆ เช่น แคนตาลูป มะเขือเทศ และน้ำมะเขือเทศ จะมีปริมาณวิตามินซีที่สูง 

โดยการรับประทานผลไม้หลากหลายชนิดเป็นประจำช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะการบริโภคผลไม้สดที่ไม่ผ่านการปรุงสุกมากเกินไปจะช่วยคงปริมาณวิตามินซีได้ดีขึ้น รวมไปถึงยังได้รับสารอาหารอื่น ๆ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ อีกด้วย 

 

ผักที่อุดมด้วย วิตามินซี 

ผักหลากหลายชนิด เช่น พริกหวานสีแดง พริกหวานสีเขียว บรอกโคลี ผักขม กะหล่ำปลี และบรัสเซลส์ สเปราต์ ล้วนเป็นแหล่งวิตามิน c คุณภาพดี การบริโภคผักเหล่านี้ทั้งแบบสดหรือปรุงอาหารอย่างเหมาะสม (เช่น การนึ่ง หรืออุ่นด้วยไมโครเวฟแทนการต้มในน้ำเดือดนาน ๆ) จะช่วยลดการสูญเสียวิตามินซีระหว่างการประกอบอาหาร เนื่องจากวิตามินซีละลายในน้ำและถูกทำลายได้เมื่อถูกความร้อนสูงเป็นเวลานาน โดยทั่วไปแล้ว การเลือกรับประทานผักสดหรือปรุงสุกเพียงเล็กน้อย จะช่วยคงปริมาณวิตามิน c ไว้ได้มากยิ่งขึ้น
 

การได้รับวิตามินซีจากแหล่งอาหารธรรมชาติ ไม่เพียงแต่ช่วยให้ร่างกายได้ในปริมาณที่เหมาะสม แต่ยังได้ประโยชน์จากสารอาหารอื่น ๆ เช่น ใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุหลากหลายชนิดที่มีอยู่ในผักและผลไม้ นอกจากนี้ การบริโภคผักและผลไม้หลากหลายชนิด 5 ส่วนต่อวัน หรือ ประมาณ 400 กรัม (ผักสุก 6 ทัพพี และผลไม้ 2 ส่วน) สามารถให้วิตามินซีมากกว่า 200 มิลลิกรัม ซึ่งเพียงพอที่จะเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และกระบวนการต่าง ๆ ในร่างกาย 

 

วิธีการรับประทานวิตามินซีให้ได้ผลดีในการเสริมภูมิคุ้มกัน 

 

กิน วิตามิน ซี ทุก วันยังไงให้ได้ผลดีในการเสริมภูมิคุ้มกัน

 

ปริมาณวิตามินซีที่แนะนำในแต่ละวัน 

อ้างอิงจากปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย พ.ศ. 2563 ได้ดังนี้ 

  • เด็กอายุ 1-8 ปี ควรได้รับ 25-40 มิลลิกรัมต่อวัน 
  • เด็กและวัยรุ่นอายุ 9-18 ปี ควรได้รับ 60-100 มิลลิกรัมต่อวัน 
  • ผู้ใหญ่เพศชายอายุ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับ 100 มิลลิกรัมต่อวัน 
  • ผู้ใหญ่เพศหญิงอายุ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับ 85 มิลลิกรัมต่อวัน 
  • หญิงตั้งครรภ์ ควรได้รับเพิ่มจากปกติอีก 10 มิลลิกรัมต่อวัน 

 

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ต้องการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเป็นพิเศษ หรืออยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ อาจเพิ่มปริมาณการทานวิตามินซีเป็น 200-500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อปรับให้เหมาะสม 

 

นอกจากนี้ ควรคำนึงถึงจุดอิ่มตัวในการดูดซึมวิตามินซี การดูดซึมจะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อรับประทานในปริมาณปานกลางต่อวัน (ประมาณ 30–180 มก./วัน) ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินซีได้ประมาณ 70–90% แต่หากรับประทานเกิน 1 กรัมต่อวัน (เช่น รับประทานครั้งละ 1,000-1,500 มิลลิกรัม) ร่างกายจะดูดซึมได้เพียงไม่ถึงครึ่ง และส่วนที่เหลือจะถูกขับออกทางปัสสาวะ  

 

ด้วยเหตุนี้ จึงขอแนะนำให้แบ่งรับประทานวิตามินซีหลายครั้งในปริมาณน้อยแต่สม่ำเสมอในแต่ละวันจะให้ผลดีกว่าการรับประทานครั้งละมาก ๆ นอกจากนี้ การปรับปริมาณให้เหมาะสมกับช่วงอายุ และปริมาณวิตามินซีที่ได้รับจากอาหาร จะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยไม่สูญเสียวิตามินส่วนเกินไปโดยเปล่าประโยชน์ 

 

เวลาในการรับประทานวิตามินซีให้ดูดซึมได้ดี 

การรับประทานวิตามินซีพร้อม หรือหลังมื้ออาหารช่วยลดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร และอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึม โดยเฉพาะหากบริโภคพร้อมอาหารที่มีธาตุเหล็ก การบริโภคในปริมาณน้อยแต่สม่ำเสมอตลอดวันอาจดีกว่าการรับประทานครั้งละมาก ๆ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถเก็บสะสมวิตามินซีได้มาก การปรับวิธีการทานให้เหมาะสมจึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน 

 

การเลือกผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินซีคุณภาพสูง 

การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์วิตามินซีจากร้านขายยาที่น่าเชื่อถือ ที่มีเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ในคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ควรพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเม็ด ผง เม็ดฟู่ หรือเม็ดเคี้ยว และหากต้องการรับวิตามินซีร่วมกับวิตามินหรือยาอื่น ๆ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพมากที่สุด 

 

ข้อควรระวังในการรับประทาน 

แม้โดยทั่วไปวิตามินซีจะค่อนข้างปลอดภัยกับร่างกาย แต่การรับประทานเกินความจำเป็นอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องเสีย ปวดท้อง หรือขับปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะหากทานมากกว่า 1 กรัมต่อวัน ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคนิ่วในไต หรือกำลังใช้ยาบางชนิด ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเริ่มรับประทานวิตามินซีเสริม เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้น การรับวิตามินซีในปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน 

 

ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทานวิตามินซี หรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริม สามารถปรึกษาเภสัชกรที่ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ใกล้บ้านหรือผ่านช่องทางออนไลน์ได้เลย อีกทั้งยังสามารถหาซื้อวิตามินซีได้ที่ร้าน หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ง่าย ๆ ผ่านทาง ALL Online ของเรา กดที่นี่เพื่อซื้ออาหารเสริมวิตามินซี bit.ly/3cgIzGG   

 

ใช้บริการ Delivery เพื่อส่งสินค้าสุขภาพถึงบ้าน คลิกเลย! 

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ “วิตามินซี” 

Q: วิตามินซี ควรรับประทานเวลาไหนดีที่สุด ? 

A: การรับประทานวิตามินซีพร้อมหรือหลังมื้ออาหารช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากการทานวิตามินซีในปริมาณน้อยแต่สม่ำเสมอระหว่างวันนั้น ดีกว่าทานครั้งละมาก ๆ ในคราวเดียว อีกทั้งการทานคู่กับอาหารที่มีธาตุเหล็กยังช่วยส่งเสริมการดูดซึมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

 

Q: วิตามินซี ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันอย่างไร ? 

A: วิตามินซีช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว และลดการอักเสบ ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น นอกจากการส่งเสริมเซลล์ภูมิคุ้มกันแล้ว วิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายจากความเสียหายของเซลล์อีกด้วย 

 

Q: วิตามินซี ควรทานปริมาณเท่าไหร่ต่อวัน ? 

A: ผู้ใหญ่ทั่วไปต้องการประมาณ 75-90 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากต้องการเสริมภูมิคุ้มกันอาจเพิ่มเป็น 200-500 มิลลิกรัม ควรปรับปริมาณตามอายุ เพศ และสุขภาพของแต่ละคน รวมถึงคำนึงถึงจุดอิ่มตัวในการดูดซึม หากทานมากเกิน 1 กรัมต่อวัน ร่างกายจะดูดซึมได้น้อยลง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนเพิ่มปริมาณวิตามินซี 

 

สรุป  

วิตามินซีเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เอง จึงต้องได้รับจากอาหารหรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอย่างเหมาะสม วิตามินซีมีบทบาททั้งในการสร้างคอลลาเจน ช่วยรักษาความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของผิว บำรุงเนื้อเยื่อและกระดูก ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานมีประสิทธิภาพขึ้นในการต่อสู้เชื้อโรค นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กและลดความเสี่ยงภาวะโลหิตจาง การได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอทุกวันจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ร่างกายพร้อมเผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น โดยควรคำนึงถึงปริมาณที่แนะนำตามช่วงอายุและสภาวะสุขภาพ รวมถึงการแบ่งรับประทานในปริมาณน้อย ๆ หลายครั้งต่อวันแทนการทานครั้งละมาก ๆ เพื่อลดการสูญเสียวิตามินส่วนเกิน สำหรับผู้ที่ต้องการเสริมภูมิคุ้มกัน อาจเพิ่มปริมาณขึ้นภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์วิตามินซีจากแหล่งที่เชื่อถือได้ รวมถึงคำนึงถึงภาวะความเหมาะสมของตนเองเพื่อให้การดูแลสุขภาพเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด 

 

ทั้งนี้หากใครที่มีโรคประจำตัว หรือกำลังทานยาอยู่เป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องและเหมาะสม 

 

ที่มา 

Vitamin C จาก National Institute of Health 

Vitamin C and Immune Function บทความจาก National Library of Medicine

Should You Take Iron With Vitamin C? จาก Cleveland Clinic  

เทคนิคเพิ่มการกินผักและผลไม้ จาก โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ 


อัปเดตและติดตามสาระสุขภาพดี ๆ จาก ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ได้ที่

LINE: @eXtaPlus (https://bit.ly/eXtaplus)

หากมีข้อสงสัย หรืออยากสอบถามเพิ่มเติม เกี่ยวกับเรื่อง สุขภาพและการใช้ยา สามารถปรึกษากับเภสัชกรได้ที่ร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสะดวกมากยิ่งขึ้น สามารถปรึกษาเภสัชกรร้านยา เอ็กซ์ต้า พลัส ผ่าน Application ALL PharmaSee ได้ตลอด 24 ชั่วโมง มาสุขภาพดีไปด้วยกันนะคะ

All Pharma See

บทความที่เกี่ยวข้อง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายการใช้คุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์และประเมินผลใช้งาน (Performance Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้ช่วยให้เอ็กซ์ต้าเห็นการปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้งานในการใช้บริการเว็บไซต์ของเอ็กซ์ต้า รวมถึงหน้าเพจหรือพื้นที่ใดของเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยม ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมูลด้านอื่นๆ เอ็กซ์ต้ายังใช้ข้อมูลนี้เพื่อการปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์และเพื่อเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งาน อย่างไรก็ดี ข้อมูลที่คุกกี้นี้เก็บรวบรวมจะเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้และนำมาใช้วิเคราะห์ทางสถิติเท่านั้น การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้เอ็กซ์ต้าไม่สามารถทราบปริมาณผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ และไม่สามารถประเมินคุณภาพการให้บริการได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการโฆษณา (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้เป็นคุกกี้ที่เกิดจากการเชื่อมโยงเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม ซึ่งเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานและเว็บไซต์ที่ท่านได้เข้าเยี่ยมชม เพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่นที่ไม่ใช่เว็บไซต์ของเอ็กซ์ต้า ทั้งนี้หากท่านปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะไม่ส่งผลต่อการใช้งานเว็บไซต์ของเอ็กซ์ต้า แต่จะส่งผลให้การนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่นๆ ไม่สอดคล้องกับความสนใจของท่าน
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึก